การเดินตามความฝันของตนเองด้วย Passion ทำให้เรารู้ว่าการใช้ชีวิตที่มีความหมายนั้นไม่ได้เป็นการทำเพื่อตนเองเพียงอย่างเดียว ความเข้าใจในชีวิตอย่างลึกซึ้งและประสบการณ์มากมายนำไปสู่การทำกิจกรรมเพื่อสังคมของ พี่ดุ๊ก-ภาณุเดช วัฒนสุชาติ
พี่ดุ๊ก-ภาณุเดช ศิษย์เก่าคณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ ผ่านงานในวงการบันเทิงมาหลากหลาย เป็นทั้งนายแบบ นักแสดง พิธีกร และผู้จัดมากความสามารถ ถ้าจำกันได้พี่ดุ๊กแจ้งเกิดด้วยบทบาทของตัวร้ายในละครเรื่องสุสานคนเป็น แต่นอกจอพี่ดุ๊กเป็นคนที่ชอบชักชวนเพื่อนพ้องน้องพี่มาทำความดี แล้วยังได้ชื่อว่าเป็นศิลปินนักแสดงจิตอาสาที่ใช้ Passion ในการนำทางชีวิต
“การเป็นซัมบอดี้ของพี่ก็จะต้องเป็นผู้นำในสิ่งที่ดีและเกิดประโยชน์ พี่จะให้สัมภาษณ์ในสิ่งที่เป็นประโยชน์ทั้งตัวเองและคนอื่น และพยายามทำตัวเป็นตัวอย่างที่ดี”
ประโยคนี้พี่ดุ๊กพูดกับเราในวันที่ได้พบกันในโครงการ The Passion : BUHTM Ambassador (Season 1) โครงการของคณะมนุษยศาสตร์และการจัดการการท่องเที่ยว มหาวิทยาลัยกรุงเทพ ที่คัดเลือกนักศึกษามาร่วมเป็นตัวแทนหรือ Ambassador ของคณะ ปั้นเยาวชนต้นแบบในการรณรงค์ทำสิ่งดี ๆ เพื่อสังคม โดยพี่ดุ๊กมาร่วมเป็นคณะกรรมการ และร่วมงานเสวนา “ทำดีไม่ต้องเดี๋ยว” เพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้กับเด็กรุ่นใหม่ในการทำกิจกรรมเพื่อสังคม
ชีวิตเด็กกิจกรรม ม.กรุงเทพ
การเริ่มต้นชีวิตนักศึกษาของพี่ดุ๊ก ที่ม.กรุงเทพ ย้อนไปกว่าสามสิบปีที่แล้ว ช่วงนั้นพี่ดุ๊กเคยเรียนที่อื่นมาก่อน แล้วจึงมาเรียนต่อที่ม.กรุงเทพ พี่ดุ๊กเผยชีวิตในเส้นทางสายบันเทิงว่า “พี่เคยไปประกวดหนุ่มแพรว และได้เป็น 1 ใน 10 ของหนุ่มแพรว ทำให้พี่ได้เครดิตจากตรงนั้น และเริ่มเข้าสู่วงการบันเทิง มีรับถ่ายโฆษณาบ้าง”
หากมองย้อนกลับไปความมีใจรักในการแสดงเริ่มต้นมาตั้งแต่พี่ดุ๊กยังเด็ก เมื่อมาเรียนที่ม.กรุงเทพ และมีโอกาสที่จะได้เป็นนักแสดง พี่ดุ๊กจึงทำควบคู่กันไปทั้งการเรียน การทำงาน ซึ่งเป็นการเดินทางตามความฝันของตนเองในฐานะนักแสดง
“พอพี่เข้ามาเรียนที่ม.กรุงเทพ ได้เจอรุ่นพี่ที่คณะนิเทศศาสตร์ ซึ่งตอนนั้นยังไม่มีละครนิเทศ แต่ว่าเป็นกลุ่มคนรักละครใช้ชื่อว่าไผ่ศิลปี พี่เต้อจากกลุ่มละครได้ชวนพี่มาเล่นละครเวทีคณะนิเทศ และก็มีรุ่นพี่อีกคน ชื่อพี่ปิ่น เป็นเลขาของท่านอาจารย์เสรี วงศ์มณฑา ก็ชวนพี่ไปเล่นละครเวทีอาชีพที่โรงละคร พี่ก็เลยกลายเป็นนักแสดงละครเวทีอาชีพในช่วงเริ่มเรียนชั้นปีที่ 2 จากโอกาสของการเล่นละครเวที ทำให้พี่เป็นนักแสดงที่มีคอนเนคชั่นได้ร่วมเล่นกับนักแสดงที่โด่งดังในสมัยนั้น”
เด็ดดอกไม้กระเทือนถึงดวงดาว
ความรักในการแสดง และได้พบเจอคนที่รักในสิ่งเดียวกัน ได้ทำงานในวงการบันเทิงตั้งแต่ยังเรียนหนังสืออยู่กลายเป็นจุดเชื่อมต่อสำคัญที่พี่ดุ๊กและเพื่อน ๆ รวบรวมสมัครพรรคพวก ก่อกำเนิดจุดเริ่มต้นของครอบครัวละครนิเทศ ม.กรุงเทพ มรดกสำคัญที่ทิ้งไว้ให้กับรุ่นน้อง
“การมีคอนเนคชั่นของพี่ ทำให้พี่เอามาใช้กับการทำกิจกรรมของมหาวิทยาลัย ซึ่งรุ่นพี่ไผ่ศิลปี และรุ่นพี่ที่รักละคร ทำละคร เขาก็มีแพสชั่นในการที่จะผลักดันให้เกิดละครนิเทศ พี่จึงมีโอกาสอยู่ร่วมก่อร่างสร้างกิจกรรมละครนิเทศรุ่นแรก”
กลุ่มกิจกรรมละครนิเทศจึงเป็นสายใยสำคัญที่ทำให้พี่ดุ๊กยังคงผูกพันกับรุ่นพี่รุ่นน้องที่ม.กรุงเทพ
“ทุกวันนี้มันเป็นเหมือนประเพณีของละครนิเทศที่ต้องมีการเตรียมตัว การฝึกซ้อม มันก็เลยเกิดขึ้นเป็นกิจกรรมต่าง ๆ แต่ขณะเดียวกันมันทำให้ตัวพี่เป็นเหมือนออแกไนซ์เซอร์หรือนักจัดการ และใช้คอนเนคชั่นด้านการเป็นนักแสดง ซึ่งมันให้โอกาสกับเราหลายอย่าง ครอบครัวละครนิเทศตอนนี้ก็จัดการแสดงอย่างต่อเนื่องมาตลอด”
พี่ดุ๊กยังชวนให้เราเข้าใจการเดินทางของชีวิตที่เต็มไปด้วยแพชชั่นในการทำสิ่งต่าง ๆ มากมายด้วยใจรักว่ามันสามารถเปลี่ยนแปลงโลกใบนี้ได้อย่างยิ่งใหญ่ เพราะเราไม่รู้หรอกว่า จุดเริ่มต้นเล็ก ๆ ที่เราสร้างไว้ มันขยายผลต่อได้มากมาย
“ถ้ามองภาพจากที่พี่อธิบายจะเห็นเลยว่า มันควรจะใช้คำว่าเด็ดดอกไม้กระเทือนถึงดวงดาว พี่เพียงแค่เด็ดดอกไม้ดอกเดียวเท่านั้นเอง มันก็แผ่เป็นอานิสงส์มาถึงรุ่นน้องในปัจจุบัน การทำกิจกรรมถ้าเราแบ่งเวลาได้ ทำควบคู่ไปกับการเรียนได้ พี่ว่ามันได้ประโยชน์มหาศาล ได้รู้จักตัวเอง ได้เรียนรู้ ได้คอนเนคชั่น ได้ต่อยอด แล้วก็ยังได้โอกาสที่จะทำสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ให้เป็นประโยชน์ต่อคนอื่นอีกด้วยครับ”
เสน่ห์ของการแสดงที่ทำให้เราเข้าใจชีวิตมนุษย์มากขึ้น
เมื่อลงลึกมาที่การเป็นนักแสดง กว่า 32 ปี บนเส้นทางสายนักแสดง พี่ดุ๊กเติบโตและฝ่าฟันอุปสรรคมากมาย สิ่งล้ำค่าของการแสดงทำให้พี่ดุ๊กเข้าใจความเป็นมนุษย์มากยิ่งขึ้น “การแสดงมันทำให้เรามีโอกาสเป็นใครก็ได้ที่เราไม่เคยเป็น หรือเราไม่อาจเป็นได้ แล้วมันก็จะมีโลกอีกโลกหนึ่งที่เราสร้างมันขึ้นมาบนเวทีและมีความเชื่ออยู่ตรงนั้น ได้อิ่มเอมกับการไปเป็นคนอื่น การเข้าใจคนอื่น ทำให้เรามีมุมมองที่มองคนด้วยความเข้าใจมากขึ้น”
การแสดงทำให้พี่ดุ๊กเรียนรู้ที่จะวิเคราะห์มนุษย์ มองมนุษย์ด้วยความลึกซึ้ง เข้าใจความปรารถนา ความต้องการของเขา ซึ่งเอามาปรับใช้กับชีวิตประจำวันได้
“พอเราเติบโตมาเป็นนักแสดงอาชีพ สิ่งที่พี่ทำก็คือเริ่มเรียนรู้จากการที่วิเคราะห์เพื่อน คนรอบตัว ทำให้พี่เข้าใจจิตวิทยาคน มันก็เลยเป็นเสน่ห์ที่ทำให้พี่ได้เข้าใจชีวิตมนุษย์มากขึ้น พี่กลายเป็นคนที่มองคนได้ทะลุ มองคนได้ด้วยความเข้าใจ และเอาสิ่งเหล่านี้กลับมาใช้ในอาชีพการแสดง ซึ่งตรงนี้สำหรับส่วนตัวพี่ มันทำให้เป็นคนที่เข้าใจอะไรง่าย เข้าใจคน ให้อภัยคนง่าย ทำให้มีสังคมที่ดี มีความอบอุ่น มีเพื่อน นี่คือเสน่ห์ที่พี่ได้รับทางอ้อมจากการแสดง”
โลกของการเป็นนักแสดงที่มีชื่อเสียง แต่ก็ต้องแลกมาด้วยการสูญเสียความเป็นส่วนตัวไปบ้าง พี่ดุ๊กบอกกับเราด้วยประกายตาที่สดใสและท่าทีของการเป็นนักแสดงมืออาชีพว่า “พี่ไม่ได้อยากเป็นดาราที่มีชื่อเสียงแต่พี่รักการแสดงตั้งแต่เด็ก ๆ การทำงานด้านนี้ทำให้พี่รู้สึกว่าโลกส่วนตัวแคบลงมา เหลือแค่ในบ้านหรือว่าห้องนอนด้วยซ้ำไป ทุกทีที่เปิดประตูบ้านออกไป นั่นคือทำงานแล้ว เพราะว่าคนที่สนับสนุนเราอยู่รอบข้าง เราต้องเริ่มยิ้มให้เขา เราต้องบริหารวิธีคิดของเราเอง เป็นทั้งความยากลำบาก และเป็นทั้งสิ่งที่สร้างบุคลิกภาพของเราขึ้นมา มันเลยเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งที่ทำให้เรารู้จักบริหารการใช้ชีวิต”
การรู้จักวางตัวท่ามกลางสปอตไลท์ที่มีแต่ผู้คนคอยจับจ้อง ถือเป็นการได้ฝึกฝนตัวเองในอีกรูปแบบหนึ่ง พี่ดุ๊กอธิบายให้เราฟังต่อไปว่า “แต่ก่อนพี่จะเป็นคนที่อยู่ในกรอบเยอะมากในฐานะนักแสดง เพราะพี่อยากจะเป็นตัวอย่างที่ดี พี่ต้องออกตัวก่อนว่าพี่ไม่ใช่คนดี พี่เป็นคนสีเทา ๆ แต่พี่เป็นคนที่ชอบทำสิ่งที่ดีและแชร์ให้คนอื่น พอพี่ได้ผันตัวเองมาอยู่เบื้องหลังพี่ใช้ชีวิตสบายขึ้น อาจจะมีอะไรออกนอกกรอบมากขึ้น”
มุมคิดสำคัญที่พี่ดุ๊กบอกกับเราอีกอย่างคือ การใช้ชีวิตอย่าไปกลัวความผิดพลาด มนุษย์เราผิดพลาดได้ มันเป็นธรรมดาของชีวิต แต่ต้องเรียนรู้จากความผิดพลาดนั้น
“ระยะหลังพี่รู้สึกว่ามีความเป็นมนุษย์มากขึ้น ใช้ชีวิตผิด ๆ ก็มี ความผิดพลาดเกิดขึ้นในวัยที่อายุมากแล้ว มันทำให้เราได้มีโอกาสเรียนรู้ก่อนที่มันจะสายเกินไป คนเรามีโอกาสประสบความสำเร็จและผิดพลาดได้ตลอดช่วงชีวิต การที่มาอยู่เบื้องหลังสำหรับพี่ นอกจากการที่ได้ใช้ศักยภาพที่เราได้เรียนรู้จากการอยู่เบื้องหน้ามาทำงานเบื้องหลัง เรายังได้เรียนรู้ชีวิตอีกด้วย มีความเข้าใจชีวิตมากขึ้น”
ศิลปินจิตอาสากับการทำกิจกรรมเพื่อสังคม
“พี่จะไม่วางตัวเองเป็นดาราหรือซุปเปอร์สตาร์ แต่พี่จะให้ตัวเองดูเป็นนักแสดง เพราะสิ่งที่พี่รักคือการเป็นนักแสดง พี่จะรับบทที่มันยาก บทที่มันท้าทาย แล้วก็ต้องฝึกฝนตัวเอง ซึ่งมันก็ส่งผลให้เรามีความรู้และได้รับการยอมรับของการเป็นครูของการแสดงจนถึงทุกวันนี้”
การเป็นนักแสดงสำหรับพี่ดุ๊กจึงเป็นการทุ่มเท ฝึกฝนตนเองอยู่เสมอ รับบทที่ท้าทาย และได้แสดงความสามารถ
“พี่โด่งดังในฐานะบทบาทตัวร้าย พี่ได้มีโอกาสไปออกรายการทีวี ไปพูดคุยในมุมมองตัวตนของพี่ ได้โชว์ให้เห็นว่าเรามีทักษะด้านการแสดงและได้เปลี่ยนความคิดคนที่เกลียดตัวละครนี้กลายเป็นว่ารักเราในฐานะนักแสดงที่มีความสามารถ พี่มีแฟนคลับมากขึ้น”
จากแพสชั่นที่รักในการแสดง ชอบทำกิจกรรมมาตั้งแต่สมัยเรียน ทุกวันนี้พี่ดุ๊กเป็นแกนนำในการรวบรวมเพื่อนนักแสดงมาทำกิจกรรมดี ๆ เพื่อสังคมมากมาย
“เรามีคอนเนคชั่น มีเพื่อน พี่ใช้ตรงนี้แหละ เชิญเพื่อน ๆ มาร่วมกิจกรรมในการทำความดีและบอกต่อสู่สังคม กิจกรรมแรกที่พี่ทำแล้วยังภูมิใจอยู่ทุกวันนี้คือรวมเพื่อน ๆ นักแสดงมาวาดรูปแล้วทำเป็นนิทรรศการหารายได้มอบให้มูลนิธิครูหยุย ตอนนั้นได้มีการเชิญอาจารย์จากม.กรุงเทพมาช่วยสอนเพื่อนนักแสดงในการวาดรูป”
การได้เป็นผู้ให้จึงเป็นมีคุณค่าที่ยิ่งใหญ่ พี่ดุ๊กบอกเราอีกว่า “ถ้าเรารู้จักที่จะเป็นผู้ให้มากกว่าการเป็นผู้รับเท่ากับเราเริ่มเสียสละให้กับสังคมแล้วครับ”
โคโค่คือหมาของพี่ดุ๊ก
ชีวิตของพี่ดุ๊กยังผูกพันกับน้องหมาน้องแมวที่เข้ามาเติมเต็ม ช่วยให้ผ่อนคลายจากการทำงานหนัก โคโค่ ซุปตาร์น้องหมาของพี่ดุ๊กที่แจ้งเกิดบนโลกโซเชียลเมื่อไม่นานมานี้กลายเป็นจุดสนใจของหลายคน
“ก่อนที่จะเลี้ยงโคโค่พี่ทำกิจกรรมเกี่ยวกับช่วยเหลือสุนัขจรจัดอยู่แล้ว พี่ได้โคโค่มาจากเมืองจีน ก็ดูแลกันมาตลอด พอมีโคโค่ วันนึงพี่ก็ลงเรื่องของโคโค่ที่เขาเล่นกับพี่ ปรากฏว่าคนถูกใจโคโค่เข้าไปแชร์ถล่มทลาย โคโค่กลายเป็นสุนัขที่มีแฟนคลับ”
โคโค่จึงเป็นแม่เหล็กดึงดูดให้พี่ดุ๊กขยายฐานแฟนคลับผู้คนมาร่วมต่อยอดการทำความดี
“เราใช้ Passion ของเราที่ชอบวาดรูปนี่แหละมาวาดรูปโคโค่ สกรีนลงบนถุงผ้า และเชิญชวนแฟนคลับหรือใครก็ตามที่อยากร่วมมาช่วย นี่คือจุดเริ่มต้นของโครงการ Coco Giveback Charity โคโค่ช่วยเพื่อน 4 ขา นำรายได้หลังจากหักค่าใช้จ่ายไปช่วยเหลือสุนัขและแมวไร้บ้าน”
สิ่งเล็ก ๆ ที่ซื้อได้ด้วยใจ
“พี่ก็อยากจะบอกว่า ใครก็ตามที่คิดว่าตัวเองสามารถทำประโยชน์ให้กับผู้อื่น ไม่ต้องมากมาย เริ่มจากการสร้างรอยยิ้มให้กับคนข้าง ๆ เรา ให้เริ่มทำเถอะ แล้วเดี๋ยวมันจะค่อย ๆ ต่อยอดต่อไปเรื่อย ๆ ทำจากสิ่งเล็ก ๆ นี่แหละครับ และก็ทำจาก Passion ของเรา มันจะมีความสุข ในการที่จะทำอะไรก็ตาม ทำด้วยความสุขของเรา ให้คนอื่นมีความสุข สิ่งเหล่านี้เราซื้อไม่ได้ด้วยเงิน ซื้อกันด้วยใจ ใช้ใจทำกันนะครับ” พี่ดุ๊กกล่าวปิดท้ายด้วยรอยยิ้ม
ขอขอบคุณพี่ดุ๊ก-ภาณุเดช วัฒนสุชาติ ศิษย์เก่าคณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ