ดอกไม้จะเบ่งบานเมื่อถึงเวลา ~ Every flower always bloom at their own time

เด็กสาวหัวใจแกร่งที่พร้อมเผชิญความแตกต่าง

          จะเป็นอย่างไรถ้าเรามีดอกไม้ที่แตกต่าง ต่อให้โลกหมุนไปไกลสักแค่ไหนแต่ค่านิยมไม่เคยเปลี่ยนกฎเกณฑ์ที่ขว้างกั้นความเป็นตัวตน

แรกแย้มของ…..(who am i)

          ณ โลกอนาคตในอีก 2,000 ปีข้างหน้า โลกที่ทุกอย่างเปลี่ยนไปมากมาย มนุษย์ทุกคนมีสัญลักษณ์สำคัญที่ติดตัวมาตั้งแต่กำเนิด มันจะปรากฎที่ข้อมือด้านขวาตั้งแต่วันแรกที่เราลืมตาดูโลก ซึ่งสัญลักษณ์นั้นก็คือดอกไม้ ดอกไม้ที่เป็นดั่งตัวตน คอยบ่งบอกถึงหน้าที่ อุปนิสัย โอกาสทางสังคม และฐานันดร สัญลักษณ์ดอกไม้ที่ข้อมือนี้โดนจำแนกออกเป็นสามกลุ่มด้วยกัน

          กลุ่มแรกคือ ดอกเบญมาศ ที่บ่งบอกถึงความฉลาด ความบริสุทธิ์ใจ และความซับซ้อน ซึ่งสัญลักษณ์นี้มักปรากฎอยู่ในเหล่าแพทย์ นักบวช กลุ่มคนคอยปกป้องดูแลรักษาผู้คน

          กลุ่มที่สอง ดอกทานตะวัน ดอกไม้ที่สื่อถึงความกล้าหาญ ความจงรักภักดี และความมั่นคง มันจะปรากฎอยู่ในเหล่าทหารหรือเหล่าผู้พิทักษ์ที่คอยทำหน้าที่ในการปกป้องโลก

          และกลุ่มสุดท้ายคือ ไฮเดรนเยีย ที่บอกถึงความด้านชา ความคมคาย ซึ่งมันปรากฎอยู่ในเหล่าพ่อค้า นักธุรกิจ ที่คอยเสาะแสวงหาความร่ำรวยและเงินตรามาบำเรอความสุข

          แต่ก็เเน่นอนเมื่อพ่อ (ดอกทานตะวัน) และแม่ (ดอกเบญจมาศ) ความรักที่เกิดจากคนสองคนที่ช่างแตกต่าง ได้ก่อกำเนิดบุตรสาวที่นามว่า “ลีน่า’’ เธอเป็นหญิงหน้าตาน่ารักน่าเอ็นดู ผมสีทองสยายเหมือนกับเด็กอื่นทั่วไป แต่ทว่าเธอกลับมีสัญลักษณ์บางอย่างที่ช่างแตกต่าง มันเป็นดอกไม้ที่ไม่มีใครรู้จัก

          เป็นสัญลักษณ์ที่ทั้งเบาบางดูแปลกประหลาดจนมองไม่ออกว่าเจ้าดอกไม้ที่อยู่บนข้อมือของเด็กหญิงนั้นมันคือดอกอะไรกันแน่ และด้วยความเป็นห่วงของพ่อและแม่ ทั้งสองจึงเลี้ยงลีน่าไว้แต่ในบ้านแบบหลบ ๆ ซ่อน ๆ เพื่อป้องกันกฎของรัฐบาลที่ว่าหากใครมีสัญลักษณ์ที่แตกต่างจะต้องโดนฆ่าทิ้งเพราะเป็นภัยกับเมืองนี้

เผชิญความจริงแล้วสินะ

          ระยะเวลาผ่านไปหลายปีจากเด็กสาวในวันนั้นก็ได้เติบโตขึ้นมาเป็นสาวสะพรั่งเต็มตัว ลีน่าที่รู้จักโลกใบที่คับแคบ เธอมีความสุขกับการได้วาดภาพทุกสิ่งทุกอย่างที่เธอเห็นผ่านหน้าต่างห้องนอน ในโลกใบเล็กนี้ที่อยู่มานานตั้งแต่จำความได้และไม่รู้ว่าโลกภายนอกนี้มันกว้างใหญ่เพียงใด เธอมีความฝันว่าสักวันเธอจะได้เห็นโลกใบกว้างนี้ และสร้างสรรค์ความสวยงามของโลกไว้ในรูปภาพที่เธอวาดด้วยตัวของเธอเอง

          เมื่ออะดรีนาลีนความเป็นวัยรุ่นเริ่มเข้ามาความอยากรู้อยากเห็นของลีน่าก็เริ่มมีมากขึ้นทุกที และมันก็มากพอที่จะทำให้ลีน่าฝืนกฎเหล็กของครอบครัวออกไปเผชิญโลกภายนอก วันนี้เป็นวันที่ท้องฟ้าสดใสอากาศข้างนอกดูสดชื่นกว่าทุกวันที่ผ่านมา ลีน่ายังคงนั่งอยู่ที่ริมหน้าต่างห้องนอนและมองออกไปนอกหน้าต่างเช่นเคย เธอเห็นเด็กสาวรุ่นเดียวกันพากันเล่นอย่างมีความสุขลีน่าเองก็อยากจะออกไปเล่นเหมือนกับคนอื่นบ้าง

          ขณะเดียวกันนั้นเองแม่ที่เดินเข้ามาในห้องเพื่อบอกข่าวดีที่เธอตั้งตารอคอยวันนี้มานาน “วันนี้แม่คงต้องไปทำงานด่วน ลูกอยู่บ้านดูแลตัวเองด้วยนะจ้ะ รักลูกจ้ะ พร้อมกับจุ๊บลงที่หน้าผากของเธอหนึ่งทีอย่างเอ็นดู

          ลีน่าได้ฟังดังนั้นจึงคิดที่จะวางแผนฝืนกฎเหล็กของครอบครัวที่คอยห้ามไม่ให้เธอออกจากบ้านด้วยความอยากรู้อยากเห็นของเด็กสาวหลังจากที่แม่ได้ออกไปทำงาน มันก็ถึงเวลาเธอจะได้ออกไปเผชิญโลกด้วยตัวเองแล้ว ลีน่าไม่รอช้าเธอรีบโกยข้าวของตรงหน้าทั้งพู่กัน สีน้ำ ผืนผ้าใบ เธอพร้อมแล้วที่จะรังสรรค์ความงามของโลกให้ทุกคนได้เห็น มันช่างน่าตื่นเต้นจนเธอเก็บอาการไว้ไม่อยู่เลย

          เมื่อลีน่าได้ออกจากบ้านมาเพื่อตามหาอิสระที่เธอใฝ่หา ลีน่าได้ลองนั่งรถไฟฟ้าเป็นครั้งแรก ได้เห็นบ้านเมืองที่ดูแปลกตาไปกว่าย่านที่เธออยู่ รถราที่วิ่งขวักไขว่ แสงสีที่เธอไม่เคยได้สัมผัส และเธอเชื่อว่านี่เเหละคือความสุขที่เธอตามหา ภาพแล้วภาพเล่าถูกบรรจงร่างขึ้นในผืนผ้าใบ ลีน่ามีความสุขกับโลกกว้างตรงหน้าจนไม่ทันได้สังเกตเลยว่า ผู้คนรอบตัวต่างมองเธอราวกับเธอเป็นตัวประหลาด

          ‘เด็กนี่บ้าบอรึยังไง’

          ‘ในยุคนี้ยังมีคนที่มานั่งวาดรูปกันอยู่อีกเหรอ’

          ‘พิลึกชะมัด เดี๋ยวนี้เขาใช้โทรศัพท์กันหมดแล้ว ไร้สาระสิ้นดี’

          …คนในโลกนี้ไม่มีใครเขาวาดภาพกันแล้ว

          ในขณะที่ลีน่ากำลังทึ่งกับผู้คนและสิ่งรอบข้าง ลีน่ามีความสุขมากที่ได้เป็นตัวของตัวเองและเธอก็ได้วาดภาพอย่างที่เธอฝัน ลีน่าได้ลองไปเสนอภาพวาดของเธอที่แกลเลอรี่ต่าง ๆ แต่ไม่มีที่ไหนสนใจในความสวยงามของภาพวาดที่เธอวาดเลยสักที่

          ลีน่าเริ่มไม่เข้าใจในโลกกว้างใบนี้ โลกที่เธอถูกผลักให้เป็นตัวประหลาด และไหนจะสัญลักษณ์ดอกไม้บ้า ๆ นี่อีกที่มันเริ่มชัดเจนขึ้นทุกที ลีน่าเบื่อและไม่อยากโดนมองว่าเป็นตัวประหลาดอีกแล้ว เธอถอดใจ และคิดว่าภาพวาดเหล่านี้มันช่างไร้ค่า และได้ตัดสินใจเข้าไปสมัครงานในแกลเลอรี่หนึ่งโดยที่เธอทิ้งภาพวาดเหล่าไว้ที่ข้างทาง

          ผู้จัดการแกลเลอรี่เรียกลีน่าเข้าไปพบและเริ่มการสัมภาษณ์ การสัมภาษณ์ผ่านไปได้ด้วยดี ถึงแม้ว่าเธอจะเอะใจอยู่หน่อยว่าทำไมผู้จัดการไม่ได้ถามถึงความสามารถทางศิลปะของเธอสักนิด แต่กลับเจาะจงไปที่การขายภาพถ่ายอย่างไรให้ได้กำไรเยอะ ๆ เสียมากกว่า แต่ลีน่าก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนักเพราะพวกดอกไฮเดรนเยียก็เป็นกันซะเเบบนี้ทุกคน

          ตอนนี้ลีน่าสนใจเเค่เพียงแค่ต้องการเป็นที่ยอมรับเท่านั้น ความฝันอะไรนั่นมันไม่ได้จำเป็นสักนิด การสัมภาษณ์เดินทางมาถึงช่วงสุดท้ายที่ผู้จัดการได้ดูสัญลักษณ์ที่ข้อมือของเธอ เมื่อได้เห็นดอกไม้หน้าตาประหลาดผู้จัดการก็รีบปฎิเสธลีน่า และมองว่าเธอเป็นตัวประหลาดและจะแจ้งเจ้าหน้าที่ให้มาจับกุมเธอ

          ลีน่าจึงรีบหนีไปทันที!

ศรัทธาและความหวัง

          หลังจากที่ลีน่าได้หนีออกมาจากแกลเลอรี่ เธอได้แอบไปนั่งคนเดียวที่สวนสาธารณะพร้อมกับความรู้สึกแย่และเสียใจที่ไม่เชื่อคำพูดของพ่อและแม่ โลกนี้ชั่งโหดร้ายเกินที่เธอจะรับมือไหว ความสุขที่ได้วาดภาพของเธอจางหายไป ในโลกกว้างใบนี้คงไม่มีที่ยืนให้กับความสุขของคนตัวเล็ก ๆ เช่นเธอ

          ขณะเดียวกันนั้นเอง ก็มีหญิงชราคนหนึ่งท่าทางเป็นมิตรได้จ้องมองมาที่ลีน่าด้วยสายตาที่มีเลศนัย หญิงชราท่าทางใจดีคนนั้นเดินเข้ามาหาลีน่าแล้วถามว่า “มีเรื่องไม่สบายใจเล่าให้ฉันฟังได้นะ” ลีน่าจึงทำหน้าตาสงสัยกับความเป็นมิตรที่หญิงชรามีต่อเธอ “พอดีฉันเป็นนักจิตวิทยาหน่ะฉันก็แค่อยากเป็นเพื่อนกับเธอ”

          ลีน่าได้ฟังดังนั้นจึงได้เริ่มเล่าความรู้สึกและเหตุการณ์ที่เธอพบเจอมาให้หญิงชราฟังทั้งน้ำตา “โลกนี้มันช่างว่างเปล่า มันคงไม่มีที่ยืนให้กับตัวประหลาดแบบหนู หนูแตกต่างเกินไป แตกต่างจากทุกคนที่นี่ หนูอยากจะหนีไปให้ไกล ไกลที่สุดเท่าที่จะไปได้” หญิงชราได้ฟังดังนั้นจึงโอบกอดลีน่าไว้ราวกับเข้าใจในความแตกต่างของเธอ ‘‘ฟังนะจ๊ะสาวน้อย เธอต้องมีศรัทธาและความหวัง โลกใบนี้ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้ ความแตกต่างคือเรื่องธรรมดาและมันอาจจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่ไม่เคยมีใครกล้าทำมาก่อน’’

          ลีน่ายิ้มออกมาด้วยความดีใจ อย่างน้อยก็มีสักคนหนึ่งที่ไม่ได้มองว่าเธอประหลาด…จริงสิ ความแตกต่างไม่ได้หมายความว่าเป็นไปไม่ได้

จุดเริ่มต้นที่ยิ่งใหญ่

          หลังจากที่ลีน่าได้คำปรึกษาจากหญิงชราผู้นั้นเธอได้ความศรัทธาและความหวังมาล้นเปี่ยมถึงเวลาก้าวผ่านข้อจำกัด แล้วมาเริ่มต้นใหม่จากตัวเอง

          ลีน่าทำทุกอย่างที่เธออยากทำซึ่งเธอกลับมาค้นพบว่าเธอมีความพิเศษมากกว่าคนอื่น เเละเธอมีแพชชั่นเต็มไปหมด เธอกลับมามีความสุขอีกครั้ง เธอทั้งวาดภาพ ร้องเพลง เล่นดนตรี หัวเราะเสียงดังได้อย่างเต็มที่ ความสุขที่มีค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นแรงผลักดันให้เธอพร้อมที่จะทำทุกอย่าง ลีน่าจึงเริ่มต้นพิสูจน์ตัวเอง

          ลีน่าได้ออกตามหาผู้คนที่มีสัญลักษณ์ที่แปลกประหลาดอย่างเธอ เธอได้สร้างเครือข่ายและได้ค้นพบว่าในโลกใบนี้มีกลุ่มคนแบบเธอจริง ๆ กลุ่มคนมีสัญลักษณ์ที่แตกต่าง และไม่เหมือนใคร พวกเขาที่ต่างก็หลบซ่อนตัวจากโลกที่ถูกจำกัดไว้เพียงคนแค่ไม่กี่กลุ่ม ลีน่าได้สร้างศรัทธาและความหวังครั้งใหม่ให้กับผู้ที่เป็นเหมือนกับเธอ พวกเขาได้พากันต่อต้านการที่รัฐบาลจะฆ่าเด็กแรกเกิดที่มีสัญลักษณ์แปลกประหลาดผู้คนในเมืองและพ่อแม่ที่รับไม่ได้กับการกระทำของรัฐบาลต่างกล้าที่จะออกมาเพื่อเรียกร้องสิทธิความเป็นมนุษย์ของตนเองและลูกของพวกเขา

          นับวันรัฐบาลก็ทนไม่ไหวกับประชาชนเพราะทุกคนต่างออกมาเยอะกว่าที่จะรับมือได้ จึงได้กำหนดข้อกฎหมายออกมาใหม่ ซึ่งกฎหมายนี้ก็เป็นข้อตกลงของคนทั้งเมืองที่ก็ต่างก็ยอมรับร่วมกัน นั้นก็คือห้ามทำลายประชาชนที่มีสัญลักษณ์ที่แตกต่าง เพราะความแตกต่างมันทำให้เราทุกคนเป็นตัวของตัวเอง

ดอกเดซี่

          หลังจากที่ลีน่าพิสูตรตัวเองสัญลักษณ์ของเธอมันก็ยิ่งชัดเจนมากยิ่งขึ้น ดอกไม้ที่ใครต่างก็ว่ามันแปลกประหลาดและแตกต่าง ดอกนั้นก็คือ ดอกเดซี่ นั่นเอง ดอกเดซี่ที่ไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อน ลีน่าตั้งใจเอาไว้ว่าเธอจะประกาศให้ทุกคนรู้ว่าเธอทำได้และไม่ใช่ตัวประหลาดอย่างที่สังคมกำหนดขึ้นมา

          ดอกเดซี่หมายถึงการเริ่มต้นใหม่ ความอบอุ่น ความหวัง และความแข็งแกร่ง ลีน่าคือผู้หญิงคนแรกที่อายุน้อยที่สุดที่ได้ออกมาปฎิวัติความเชื่อครั้งใหม่และหลังจากที่ข่าวได้แพร่กระจายไปทำให้ผู้คนที่มีดอกไม้ที่ต่างจากคนอื่นได้ออกมาแสดงตัวตนกันมากขึ้นทุกวัน ทุกคนมีความกล้าที่จะยอมรับตัวเองและสรรค์สร้างหน้าที่ความดีที่ไม่มีข้อจำกัด และหลังจากนั้นก็มีสัญลักษณ์ดอกไม้อื่น ๆ เกิดขึ้นตามมาอีกมากมาย สัญลักษณ์ที่ทั้งงดงามและแตกต่าง

          ลีน่าได้ออกเดินสายให้กำลังใจและทำหน้าที่ที่จะช่วยสังคมให้น่าอยู่ที่สุดเท่าที่เธอจะทำได้

ฉันที่เป็นตัวของฉันเอง

          หลังจากนั้นไม่นานลีน่าก็ได้กลับมาที่สวนสาธารณะอีกครั้งเพื่อมาหาหญิงชราใจดี แต่เธอกลับไม่เจอหญิงชราคนนั้นอีกเลย มีเพียงเด็กน้อยคนหนึ่งที่ยื่นจดหมายบางอย่างให้ ข้อความในนั้นเขียนไว้ว่า “…ถึงลีน่าผู้หญิงที่แสนพิเศษ เธอคือเธอ ด้วยรักจาก ลีน่า…”

          ความเป็นตัวเองไม่ได้ทำให้ความแตกต่างนั้นดูประหลาด แต่จะนำพามาซึ่งสิ่งใหม่ ขอเพียงศรัทธาและมีความหวัง เรานั้นจะทำมันได้เสมอ

ขอขอบคุณภาพหน้าปกประกอบเรื่อง www.freepik.com

Writer & Illustrator

ไม่มีอะไรที่มนุษย์คนหนึ่งจะทำไม่ได้ หากเรานั้นได้พยายามแล้ว