คุณผู้ชม! คือคำพูดคุ้นหูที่ทำให้ทุกคนรู้จัก พี่ธรรมชาติ โยธาจุล นักศึกษาสาขาการสื่อสารแบรนด์ คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ พี่ธรรมชาติผ่านการเป็นพิธีกร สายเอนเตอร์เทน เฉิดฉายบนเวที มือถือไมค์ ไฟส่องหน้า และยังเป็นมือตัดต่อวิดีโอคลิปตัวยง ผู้ผ่านการประกวดมามากมายนับไม่ถ้วน และยังเป็นที่รู้จักในฐานะเจ้าของเพจชื่อดัง อย่าง แรงมากแม่ และ จบแล้วไปไหน
พี่ธรรมชาติ บอกเราด้วยแววตาภาคภูมิใจและเล่าถึงอดีตให้ฟังว่า “เคยเป็นเด็กคนหนึ่งที่ไม่เก่งอะไรเลยมาก่อน ไม่ได้มีความฝันอะไรเป็นเรื่องเป็นราว และไม่รู้จักตัวเองด้วยซ้ำ วันหนึ่งเป็นเพราะทุน BUCA Talent นี่คือจุดเปลี่ยนชีวิต ทุนนี้ทำให้เขากลายเป็น ธรรมชาติ โยธาจุล พิธีกรที่มากความสามารถ และยังเป็น Video Creator มือฉมังในทุกวันนี้
“จุดเริ่มต้นเกิดขึ้น ตอน ม.5 หรือ ม.6 นี่แหละ ครูให้ทำคลิปส่ง แล้วทั้งห้องไม่มีใครทำงานตัดต่อวิดีโอเป็นเลย เพื่อนทั้งห้องก็มองมาที่เรา เราก็แบบตายแล้ว!!! ทำยังไงดี เพราะตัวเองก็ไม่เคยตัดต่อมาก่อน สุดท้ายเลยตัดสินใจลองทำดู ตัดไปตัดมา อุ๊ย! สนุกจังเลย แล้วพอมัน Export ออกมาเป็นวิดีโอสำเร็จ แล้วเพื่อน ๆ เขาชอบกัน ตัวเราก็มีความสุข ช่วงนั้นเลยเป็นช่วงที่บ้าการตัดต่อคลิปวิดีโอมาก”
“แล้ววันหนึ่งโอกาสก็เดินทางมาถึง เมื่อมหาวิทยาลัยกรุงเทพเปิดรับสมัครทุน BUCA Talent ข่าวสารนี้มาถึงโรงเรียน ช่วงนั้นเราสนใจเรื่องการตัดต่อวิดีโออยู่แล้ว เลยเริ่มจริงจังขึ้นมา หลังจากนั้นจึงเริ่มฝึกฝนด้วยตัวเองให้มากขึ้น แล้วก็ไปออดิชั่น ซึ่งก็ผ่านเข้ารอบ และได้ไปเข้าค่าย เป็นการเพิ่มโอกาสให้ตัวเอง ได้พัฒนาและฝึกฝนขึ้นมาอีกขั้นหนึ่ง พอถึงวันประกาศผล ปรากฏว่าสิ่งที่ได้คือเกินความคาดหวัง เราได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในทุน BUCA Talent นับว่าเป็นโอกาสสำคัญที่สุดในชีวิตที่ทำให้เราเป็นเราถึงทุกวันนี้”
ความกล้า…ทำให้เรามีโอกาสพัฒนาตัวเอง
อีกหนึ่งตัวตนที่ทุกคนอาจจะไม่เคยเห็นมาก่อน พี่ธรรมชาติในวันนี้กลายเป็นคนใหม่จากวัยเด็กคือ เต็มเปี่ยมไปด้วยความสามารถหลากหลายทักษะ สร้างเสียงหัวเราะ เอนเตอร์เทนคนเก่งมาก สนุกสนานเฮฮา แต่กว่าจะมาเป็นพี่ธรรมชาติในวันนี้ ย้อนไปในวันวาน ดูเบื้องหลังชีวิตแล้วก็น่าสนใจไม่แพ้กัน พี่ธรรมชาติเล่าให้เราฟังด้วยรอยยิ้ม
“เมื่อก่อนเราเป็นเด็กขี้อาย กล้า ๆ กลัว ๆ ที่จะทำอะไรสักอย่าง แต่แล้วถึงช่วง ม.3-ม.4 ได้เข้ามาทำงานเป็นสภานักเรียน ก็เลยเปลี่ยนผันชีวิตให้มาทำกิจกรรม แล้วก็ทำให้เจอคนมากขึ้น ช่วงนี้เองที่คิดว่าได้ค้นพบตัวตนจริง ๆ ของตัวเอง เพราะจริง ๆ แล้วเราเป็นคนตลก เฮฮากับเพื่อนตลอด เหมือนเรากล้าที่จะเป็นตัวเองมากขึ้น”
ถ้าเราเห็นพี่ธรรมชาติที่มีบุคลิกมั่นอกมั่นใจในวันนี้ เชื่อหรือไม่ว่า ก่อนหน้านี้แค่พี่แกมือถือไมค์ และออกมายืนหน้าห้องเรียน ยังขาสั่นแล้วสั่นอีก
“ช่วงแรกนี่คือว่าตัวสั่น มือสั่นมาก ในการต้องออกมาพรีเซนต์หน้าห้องเรียนจะตัวสั่นเป็นเจ้าเข้าเลยนะ ถ้าถามว่าอะไรที่ทำให้เปลี่ยนไป อาจเป็นเพราะว่าการได้เข้ามาทำงานสภานักเรียนนี่แหละ เมื่อได้ตำแหน่งปุ๊บ วันแรกก็ต้องยืนพูดหน้าเสาธง พูดไปเสียงสั่นไป วันต่อมาก็ต้องทำแบบเดิม พูดไปพูดมา ซ้ำไปเรื่อย ๆ ก็ทำให้เราคุ้นชิน ไม่ประหม่าแล้ว แต่มีอีกหนึ่งสิ่ง ที่คิดว่าตัวเองยังทำได้ไม่ดีคือ เวลาพูดตัวต่อตัว อย่างเช่น ตอนสัมภาษณ์แบบนี้จะตื่นเต้นมาก ๆ แต่ถ้าได้พูดบนเวทีเจอคนเยอะ ๆ นี่ชอบเลย”
ทุกโอกาสที่เข้ามาในชีวิต ทำให้เราเติบโตขึ้นเสมอ
“จากเด็กผู้ชายธรรมดาในวันนั้น ไม่เป็นที่รู้จักของใคร ผ่านจุดที่รู้สึกว่าตัวเองยังไม่ดี ยังเก่งไม่พอมาพอสมควร แต่เพราะเราไม่เคยหยุดพัฒนาตัวเอง ใช้โอกาสทุกครั้งที่เข้ามาในชีวิตอย่างเต็มที่ ทุกครั้งก็ทำให้ชีวิตตัวเองเปลี่ยนไป เชื่อว่าทุกโอกาสที่เข้ามามีผลต่อชีวิตเสมอ”
“หลังจากเข้ามาเป็นนักศึกษาทุน BUCA Talent เราเจอคนเก่งเยอะมาก ช่วงแรกก็กดดันตัวเองตลอด แต่ก็มาฉุกคิดได้ว่า กดดันไปเพื่ออะไร เราต้องเปลี่ยนแรงกดดันเป็นแรงผลักดันสิ เราเลยหาวิธีการของเราเอง ซึ่งเราคิดว่า สิ่งแวดล้อมรอบตัวเราตอนนี้มันคือโอกาส ถ้าเรามีเพื่อนเก่ง ๆ อยู่รอบตัว ก็จะช่วยผลักดันตัวเองไปด้วย”
“เราเป็นคนชอบท้าทายตัวเอง อะไรที่เรายังทำไม่ได้หรือทำได้ไม่เท่าคนอื่น เราจะพยายามฝึกสิ่งนั้นมาเสริมในด้านที่เราขาด ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ถ้าเราไม่ผลักดันตัวเองตลอดเวลา เราก็จะกลายเป็นหางแถว ยิ่งจะเข้าสู่วัยทำงานแล้ว จะต้องมีจุดเด่นทำให้คนอื่นนึกถึงเรา พูดถึงการทำคลิป พูดถึงการทำกิจกรรม พูดถึงการเป็นพิธีกร ก็จะนึกถึงเรา อะไรอย่างนี้เป็นต้น ต้องพยายามดึงส่วนเด่นของตัวเองออกมาให้คนอื่นได้เห็น เอาตัวเองออกมาให้สุด ลุยทุกอย่างให้หมด แล้วจะรู้สึกทันทีว่า โอกาสที่เข้ามาหาเรามันไม่สูญเปล่า”
พัฒนาในด้านที่ขาดเพื่อเป็นตัวเองในฉบับสมบูรณ์
ความเป็นตัวเองของพี่ธรรมชาติคือเอกลักษณ์เฉพาะตัว ทั้งการแต่งตัว รวมทั้งทัศนคติในการใช้ชีวิต ทั้งหมดนี้ทำให้พี่ธรรมชาติเป็นที่สนใจของผู้คนมากมาย เราสอบถามถึงเคล็ดลับที่ทำให้พี่ธรรมชาติเป็นคนที่เรียกได้ว่าเก่งรอบด้าน
“วิธีของพี่คืออยู่ใกล้คนเก่ง เมื่อก่อนพี่ทำไม่เป็นหรอก ใน 3 ถึง 4 อย่างที่พูดมา พี่เริ่มจากศูนย์หมดทุกอย่างเลย ไม่มีใครที่ทำทุกอย่างได้ตั้งแต่เกิด เราต้องฝึกฝนและพัฒนาตัวเอง เราอยากทำให้ได้เท่าเพื่อน ๆ อยากให้เพื่อน ๆ ไม่เสียหน้าเวลาทำอะไรคู่กับเรา เวลาทำงานกลุ่ม เช่น งานตัดคลิปวิดีโอ ถ้าเกิดเขามาคู่เราแล้วต้องรู้สึกว่าเครียดกับงาน ไม่ได้คะแนนดีเพราะเรา มันก็ไม่ใช่นะ เราจึงต้องทำให้เพื่อนไม่รู้สึกตะขิดตะขวงใจที่ต้องมาทำอะไรคู่กับเรา เป็นพิธีกรคู่ จะให้เขาพูดอยู่คนเดียวก็ไม่ได้ พี่ก็เรียนรู้จากเพื่อนพี่ เพื่อนพี่เป็นคนที่เก่งมาก เรียนก็เก่ง พูดก็เก่ง แล้วพี่ก็ภูมิใจในตัวเพื่อน เออ…เพื่อนเราทำไมเก่งขนาดนี้ เราก็อยากเป็นแบบนั้นบ้าง นี่คือเหตุผลที่เราต้องพัฒนาตัวเองขึ้นมาเรื่อย ๆ”
การอยู่ในสังคม ที่ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา สิ่งสำคัญที่จะทำให้เรายังคงอยู่ เป็นที่จดจำ และเป็นที่ต้องการของสังคมก็คือ ความเป็นเรา และความเป็นพี่ธรรมชาตินี่เองที่ทำให้ผู้คนยังคงพูดถึงและจดจำพี่ได้อย่างแม่นยำ
ตอนนี้ก็ถึงเวลาที่จะล้วงความลับการทำงานในฐานะที่พี่เขาเป็นเจ้าของเพจเฟซบุ๊กชื่อดัง อย่าง แรงมากแม่ และ จบแล้วไปไหน กันบ้าง
ณ จุดเริ่มต้นของ แรงมากแม่
“จุดเริ่มต้นของเพจ แรงมากแม่ คือ มีบริษัทหนึ่งจัดการแข่งขันการทำ Live Stream ขึ้นมา ประมาณว่าไปไลฟ์ขายของให้แอปพลิเคชั่นของบริษัทนั้น เราก็ไปสมัครแล้วตั้งทีมขึ้นมา ตอนแรกมีกัน 3 คน แข่งไปแข่งมาก็ดึงรุ่นน้องมาช่วย จนถึงวันที่เราได้เซ็นสัญญากับเขา พอเซ็นสัญญาปุ๊บก็พอมีรายได้เข้ามา เลยชวนเพื่อนชวนรุ่นน้องมาทำงานกันและเปิดเป็นเพจ หลังจากนั้นก็คือการมาต่อยอดจากงานเดิมของเรา ตอนนี้ทำไปทำมาคือกลายเป็นว่าเพจนี้เป็นส่วนหนึ่งของเรา เพราะว่าหลายคนรู้จักเราผ่านเพจนี้ ก็สนุกดี มันเป็นเหมือนอีกตัวตนหนึ่งของเรา”
“ส่วนเพจ จบแล้วไปไหน เป็นเพจที่ทำแข่งขันตอนไปยุโรป เป็นเพจที่สัมภาษณ์เกี่ยวกับแรงบันดาลใจต่าง ๆ ถ่ายทอดลงไป แล้วก็มีการไปต่างประเทศ คือได้จากการแข่งขันย่อยอื่น ๆ อย่างที่บอกว่าเราชอบความท้าทายให้กับตัวเอง ก็จะหาแข่งนั่นนี่ เราตั้งเป้ากับตัวเองไว้ อย่างตอนปี 1 เข้ามาปุ๊บได้ทุน BU to New York คือได้ไปที่นิวยอร์กเลย หลังจากนั้นก็รู้สึกว่า การไปต่างประเทศมันให้อะไรกับเราเยอะดี ได้เปิดมุมมองจากและนำประสบการณ์มาใช้พัฒนาตัวเองได้ ไม่รู้ใช้คำสวยหรูไปหรือเปล่า เรียกว่าเป็นการเติมความสุขและเติมไฟให้ตัวเองดีกว่า การไปต่างประเทศทุกครั้ง เรารู้สึกว่าได้อะไรบางอย่างกลับมาทุกครั้ง”
แบบไหนที่เป็นตัวเองมากที่สุด
พี่ธรรมชาติได้ทำงานที่หลากหลาย เราจึงถามต่อว่า ชอบแบบไหนมากที่สุด ? จริง ๆ ชอบทุกอย่างเลยนะ เพราะทุกอย่างคือตัวตนของเรา แต่ถ้าให้เลือก 1 อย่าง อาจจะเลือกการตัดต่อ เพราะชอบตอนที่เห็นงานออกมาแล้วเป็นฝีมือของเรา แต่ไม่ได้ชอบตอนที่นั่งตัดต่องาน เพราะมันเหนื่อยมาก ใช้พลังงานเยอะมาก”
“เมื่อก่อนจะชอบงานอยู่หน้ากล้องมากกว่า แต่เดี๋ยวนี้รู้สึกว่า เริ่มเพลา ๆ ลง เพราะว่าหันมาสนใจงานหลังกล้องมากกว่า เช่น การกำกับหนัง กำกับ Vlog ว่าทำอย่างแบบนี้สิ อนาคตถ้าเลือกได้อยากเป็นครีเอเตอร์เพราะรู้สึกว่าเป็นงานที่สามารถรับงานได้หลายงานด้วย แล้วก็เป็นงานที่เราสามารถใช้ได้ทุกความสามารถที่เรามี ทั้งงานเบื้องหน้า เบื้องหลัง งานตัดต่อ เป็นทุกอย่างที่เราชอบมารวมกัน”
พี่ธรรมชาติยังได้รับ รางวัลนักศึกษาดีเด่น ประเภทวิชาการดีเด่น กลุ่มสาขาสังคมศาสตร์ เป็นรางวัลที่มอบให้นักศึกษาที่มีผลการเรียนและผลงานทางวิชาการดีเด่น มีความประพฤติที่แสดงออกถึงการเป็นผู้มีคุณธรรมและจริยธรรม รวมถึงการบำเพ็ญประโยชน์เพื่อสังคม จัดโดย สมาคมสถาบันอุดมศึกษาเอกชนแห่งประเทศไทย ในพระราชูปถัมภ์ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
สิ่งหนึ่งที่เราได้เรียนรู้อย่างชัดเจนจากการสัมภาษณ์พี่ธรรมชาติในครั้งนี้ ก็คือการเป็นตัวของตัวเองและการทำในสิ่งที่รัก คือเคล็ดลับสู่ความสำเร็จของพี่ธรรมชาติ ซึ่งทุกคนสามารถนำเคล็ดลับนี้ไปใช้ได้เช่นกัน
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบ พี่ธรรมชาติ โยธาจุล นักศึกษาคณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ