เป๊กกี้-จรัญ เนตรพันธ์ เด็กคณะบริหารธุรกิจ ม.กรุงเทพ ที่มีรายได้ 7 ล้านบาทต่อปี

มุ่งมั่นเส้นทางสายธุรกิจ เชื่อว่าประสบการณ์และความรู้มีคุณค่าเมื่อนำมาใช้

          “ยิ่งเราพยายามมากเท่าไหร่ มันก็ใกล้เป้าหมายที่เราตั้งไว้มากขึ้นเรื่อย ๆ”

          เป๊กกี้-จรัญ เนตรพันธ์ นักศึกษาสาขาการตลาดดิจิทัล คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ เขาเชื่อว่าความพยายามจะนำเราไปสู่จุดหมาย เมื่อได้นำความรู้และประสบการณ์ที่ได้จากการทำงานพาร์ทไทม์มาเริ่มทำธุรกิจขายของออนไลน์ด้วยอายุเพียง 19 ปีเท่านั้นเอง! ร่วมเรียนรู้และเจาะลึกวิธีคิดของนักธุรกิจอายุน้อยแต่มากประสบการณ์คนนี้กันเลย

เมื่องานพาร์ทไทม์เป็นจุดเริ่มต้นที่อยากทำธุรกิจ

          ย้อนไปเมื่อ 4 ปีก่อนทำไมถึงตัดสินใจลาออกจากงานพาร์ทไทม์เพื่อมาทำธุรกิจขายของออนไลน์

          “เราเริ่มจากความรู้สึกที่ว่า เราสามารถไปไกลได้กว่านี้ สามารถหาเงินได้มากกว่านี้ ด้วยความรู้และประสบการณ์ที่เราได้จากการทำงานในเรื่องเกี่ยวกับการขนส่งนำสินค้าเข้าจากจีน”

          เราถามต่ออีกว่า ทำงานพาร์ทไทม์พร้อมกับธุรกิจขายของออนไลน์น่าจะทำไปพร้อมกันได้

          เขาตอบด้วยสีหน้ามั่นใจว่า “เมื่อเราเลือกที่จะทำอะไรสักอย่างแล้ว เราอยากทุ่มเทให้กับสิ่งนั้นเพียงสิ่งเดียว เพื่อให้สิ่งนั้นมันออกมาดี”

ก้าวแรกของการเริ่มธุรกิจขายของออนไลน์

          เมื่อรู้ว่าตนเองต้องการทำอะไร จึงเริ่มต้นด้วยความรู้และประสบการณ์การทำงานที่สั่งสมมา “เราเริ่มจากการสำรวจตลาดว่าสินค้าอะไรเป็นที่นิยม และมีความต้องการมากในช่วงนั้นก่อน แล้วจึงเลือกตัวสินค้ามาเป็นสินค้าที่เราจะขาย โดยสินค้าที่เราเลือกในตอนนั้นคืออุปกรณ์รถยนต์ที่นำเข้ามาจากประเทศจีน”

          เมื่อเลือกสินค้าที่จะขายได้แล้ว ผลลัพธ์เป็นอย่างไรบ้าง

          “ในช่วงสองเดือนแรกขายไม่ได้เลย ทุกอย่างไม่ได้เป็นไปตามที่เราคาดหวังไว้” 

          ตอนนั้นคิดว่าจะทำยังไงต่อไป จะเลิกขายเลยไหม หรือจะสู้ต่อ

          “เราเลือกที่จะสู้ต่อ เพราะเราคิดว่าเราสามารถพยายามได้มากกว่านี้ ความรู้ที่เราได้จากการทำงานอาจจะยังไม่มากพอ เราต้องหาความรู้เพิ่มโดยครั้งนี้เราเริ่มจากการศึกษาการตลาดเพิ่มเติมว่าจะทำอย่างไรให้สินค้าของเราขายได้  จึงไปศึกษาจาก LAZADA Shopee และ Website ในเรื่องของการขายสินค้า รวมถึงในเรื่องการทำโฆษณา การแต่งรูปภาพ การจัดโปรโมชั่น ทำให้มียอดขายขึ้นมา โดยใช้เวลาศึกษาประมาณสองเดือน หลังจากนั้นก็เริ่มมีคนมาซื้อสินค้าของเรา”

          หลังจากที่ได้ศึกษากระบวนการทำงานต่าง ๆ แล้ว ยอดขายเดือนแรกที่ได้มาคือเท่าไหร่

          “ยอดขายเดือนแรกที่เราได้คือ 150,000 บาท ตอนนั้นตกใจมากไม่คิดว่าตัวเองจะทำเงินได้เยอะขนาดนี้”

          ยอดขายเดือนแรก เงินก้อนแรกที่เขาได้จับหลังจากการขายของออนไลน์ ถือว่าเป็นสิ่งที่ทำให้เขาพัฒนา และอยากเพิ่มยอดขายขึ้นไปเรื่อย ๆ ไม่มีสิ้นสุด

เป้าหมายที่ไม่มีวันสิ้นสุด

          หลังจากได้จับเงินก้อนแรกจากการขายของออนไลน์ เขาก็ยังไม่หยุดที่จะพัฒนาธุรกิจของเขา ให้ประสบความสำเร็จตามเป้าหมายที่วางไว้   

          “เนื่องจากผลลัพธ์จากความตั้งใจ ความพยายามของเรามันออกมาดี มันยิ่งเป็นแรงผลักดันให้เราสู้ต่อไป เป็นแรงผลักดันให้เราอยากทำให้ดีกว่านี้  จึงเลือกที่จะศึกษาในคณะที่สามารถนำความรู้มาต่อยอดการทำธุรกิจได้ คณะที่ตัดสินใจเลือกเข้าศึกษาต่อคือสาขาการตลาดดิจิทัล คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ”

          จากชื่อคณะและสาขา ก็รู้เลยว่าใช่สำหรับเราแน่นอน

          “ใช่เลยครับ และเมื่อเข้ามาศึกษาคณะนี้แล้วจึงทำให้รู้ว่า ยังมีความรู้อีกมากมายที่สามารถนำไปปรับใช้กับธุรกิจของของเราได้ ยกตัวอย่างเช่น การหากลุ่มเป้าหมาย การหากลุ่มลูกค้า รวมถึงการวางแผนด้านการเงิน เป็นประโยชน์มากในการทำธุรกิจขายของออนไลน์”

การตลาดดิจิทัลกับการทำธุรกิจ

          คณะนี้ให้ความรู้ในเรื่องอะไรบ้าง “เราได้เรียนรู้การทำการตลาดบนระบบดิจิทัล เพราะปัจจุบันโลกเปลี่ยนมาเข้าสู่ยุคของดิจิทัลแล้ว มีทั้งเว็บไซต์ โซเชียลมีเดีย แอปพลิเคชันต่าง ๆ เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้เราทำการตลาดดิจิทัลได้ อีกทั้งยังให้ความรู้ในเรื่องการเลือกทำการตลาดให้ตรงกับรูปแบบธุรกิจ ตรงกับความต้องการเพื่อให้ธุรกิจรุ่งเรือง ถือว่าเป็นความรู้ที่มีประโยชน์มากในการนำมาใช้เป็นแนวทางธุรกิจของเรา”

          นอกจากนี้ยังมีการเรียนรู้จากผู้เชี่ยวชาญทางด้านการตลาด

          “คณะได้นำผู้เชี่ยวชาญทางการตลาดหลายท่าน มาให้ความรู้เกี่ยวกับการทำการตลาดในยุคปัจจุบันรวมถึงเล่าประสบการณ์ของตนเองให้นักศึกษาฟัง เพื่อเป็นแนวทางในการทำธุรกิจหรือทำงานในอนาคต และยังให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการทำการตลาดให้แก่นักศึกษาที่กำลังประกอบธุรกิจส่วนตัว ไม่ว่าจะเป็นในรูปแบบออนไลน์หรือออฟไลน์”

          นอกจากจะได้เรียนรู้ตามหลักสูตรแล้ว ยังได้เรียนรู้จากผู้ที่มีประสบการณ์จริง ทำให้เราวิเคราะห์และเข้าใจโลกธุรกิจได้มากขึ้น

เป้าหมายสูงสุดในการทำธุรกิจ

          เพราะผลลัพธ์จากการทำธุรกิจออกมาดี เขาจึงอยากสร้างเป้าหมายให้กับธุรกิจของตัวเอง

          “เรารู้สึกว่าที่เราทำทุกวันนี้ก็ดีอยู่แล้ว แต่อยากทำให้ดียิ่งขึ้นไปอีก ปัจจุบันยอดขายอยู่ที่ปีละ 7 ล้านบาท แต่เป้าหมายของเรายังไม่ได้หยุดเพียงเท่านี้ เรายังอยากต่อเติมธุรกิจของเราไปเรื่อย ๆ เพราะเรื่องเงินนั้นไม่มีที่สิ้นสุด เราต้องการทำกำไรให้ได้มากขึ้นทุกปี” นี่คือเป้าหมายที่เขาได้ตั้งเอาไว้ 

          เขายังบอกอีกว่า “เป้าหมายของเราคืออยากทำแบรนด์เกี่ยวกับอุปกรณ์รถยนต์เป็นของตัวเองไปเลย ไม่จำเป็นต้องนำสินค้าจากจีนขนส่งเข้ามา” แต่อุปสรรคเพียงข้อเดียวคือ “การที่จะทำแบรนด์ของตัวเองได้นั้น ต้องใช้เงินทุนค่อนข้างมาก ตอนนี้จึงยังไม่สามารถสร้างแบรนด์สินค้าของตัวเองได้ สิ่งที่ทำได้ตอนนี้คือพยายามเก็บเงินเพื่อเป็นทุนในการสร้างแบรนด์ต่อไป”

          เป๊กกี้บอกต่ออีกว่า “ถึงแม้ว่าตอนนี้ยังไม่สามารถสร้างแบรนด์ของตัวเองได้ แต่เรามั่นใจว่าในอนาคตต้องทำได้แน่นอน” เขาตอบด้วยสีหน้ามั่นใจ

เพื่อนร่วมงาน

          เมื่อธุรกิจเจริญเติบโตขึ้น แน่นอนว่าการทำงานทั้งหมดด้วยตัวคนเดียวนั้นเป็นเรื่องที่ยากลำบาก “หลังจากที่เรามียอดขายเพิ่มมากขึ้นในแต่ละปี ภายหลังจึงจ้างพนักงานเพื่อแบ่งเบาภาระในการทำงานในส่วนของการจัดการบัญชี แพ็คสินค้า และดูแลเว็บไซต์”

          ที่สำคัญเขายังบอกอีกว่า นอกจากการหาเงินแล้วเขายังอยากหาประสบการณ์ชีวิตที่ไม่ใช่แค่การทำงาน แต่เป็นการเที่ยวเล่นพักผ่อนกับเพื่อนฝูง เหมือนวัยรุ่นทั่วไป และที่ขาดไม่ได้คือ เขาพูดถึงเพื่อนร่วมงานต่ออีกว่า “การมีเพื่อนร่วมงาน ทำให้งานของเราง่ายขึ้น อาจเป็นผลมาจากทัศนคติของเราตรงกัน รับฟังความคิดเห็นของกันและกันมาตลอด จึงทำให้งานออกมาดี และทำให้ธุรกิจของเราเจริญรุ่งเรืองต่อไป เราโชคดีที่เราได้เพื่อนร่วมงานที่ดี เพราะเมื่อไหร่ก็ตามที่เกิดปัญหาในการทำงานขึ้นมา พวกเขาจะพยายามแก้ปัญหานั้นให้เร็วที่สุด โดยที่เราไม่ต้องคอยเป็นกังวลเลย” จึงทำให้รู้ว่าการมีเพื่อนร่วมงานที่ดีเป็นเรื่องสำคัญในการทำธุรกิจ

ถึงนักธุรกิจหน้าใหม่..ถ้าคิดว่าใช่ก็ลงมือทำเลย

          เป๊กกี้ยังบอกนักธุรกิจหน้าใหม่หรือคนที่สนใจอยากเริ่มต้นขายของออนไลน์ โดยให้แนวทางการเริ่มต้นทำธุรกิจเอาไว้ว่า “อันดับแรกให้นั่งคิดก่อน ค้นหาไอเดียที่มีอยู่ในหัว แล้วเขียนออกมาให้หมด ต่อจากนั้นก็มานั่งอ่านทีละข้อ แล้วถ้าวิเคราะห์แล้วธุรกิจใดไม่เหมาะกับเราก็ตัดออกไป”

          พร้อมทั้งยกตัวอย่างตามมาว่า “บางธุรกิจที่เราเห็นว่าทำแล้วต้องปังแน่นอน แต่เรามีเงินไม่มากพอจะเริ่มต้น หรือความรู้ไม่มากพอแบบนี้ก็ขีดออกดีกว่า เพราะถ้าธุรกิจแรกที่ทำไปไม่ได้ดี อาจจะทำให้เสียกำลังใจกันเปล่า ๆ เพราะการจะทำธุรกิจนั้นห้ามคิดเอาเอง ต้องสำรวจการตลาดจริง ๆ และถ้าคิดว่าได้ธุรกิจที่ใช่ที่เหมาะกับตัวเรา ก็ลงมือทำกันเลย”

ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบ เป๊กกี้-จรัญ เนตรพันธ์ นักศึกษาสาขาการตลาดดิจิทัล คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ

Writer

การใช้ชีวิตให้คุ้มค่าในแบบของเราคือการนอนดูซีรีย์ทั้งวัน

Photographer

เราหนีจากความจริงไม่ได้ หาความสวยงามให้เจอแทนดีกว่า