เปิดเรื่องราวจังหวะชีวิตของเพลง-ศิริพักตร์ชา เด็กฟิล์ม ม.กรุงเทพ

กำลังใจสร้างได้ด้วยตนเอง เติมเต็มความฝันด้วยการลงมือทำ และไม่หยุดเรียนรู้

         “มนุษย์ทุกคนสามารถเรียนรู้ได้เรื่อย ๆ ไม่ว่าคุณจะอายุ 10 ขวบ ไปจนถึง 70 หรือไม่ว่าคุณจะมีอายุขัยเท่าไหร่ก็ตาม การเรียนรู้เป็นสิ่งที่สำคัญ เราต้องเรียนรู้ในการที่จะปรับเปลี่ยน ปรับตัว ต้องเรียนรู้ว่าโลกไปถึงไหนแล้ว เราถึงจะเข้าใจได้ว่าสิ่งที่เราเป็นอยู่นั้นคืออะไร”

         เปิดเรื่องราวและมุมมองของ เพลงศิริพักตร์ชา เวชกามา รุ่นพี่สาขาภาพยนตร์ เอกธุรกิจภาพยนตร์และสื่อจอ คณะดิจิทัลมีเดียและศิลปะภาพยนตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ นอกจากเรียนภาพยนตร์แล้ว เพลงยังเป็นอินฟลูเอนเซอร์ ยูทูบเบอร์ในหลายช่องทาง Instagram: plengsrpc, Facebook: Piano&Pleng, TikTok: Piano&Pleng และ YouTube: Piano&Pleng ปัจจุบันผลงานล่าสุดคือออกเพลงใหม่กับพี่สาวชื่อเพลงว่า “Baby Tonight”

         เราจะพามาทำความรู้จักกับพี่เพลง รุ่นพี่มากความสามารถ พร้อมกับเรื่องราวที่ยังไม่มีใครเคยรู้จากที่ไหนมาก่อน รับรองได้เลยว่าทุกคนจะต้องหลงรักและชื่นชอบเธอคนนี้ เรื่องราวชีวิต การเรียน การทำกิจกรรมในรั้วมหาวิทยาลัย และความฝันของเธอจะเป็นไปในทิศทางไหน ติดตามได้เลยที่นี่เป็นที่แรก

เหตุผลที่เลือกเรียนภาพยนตร์

         สิ่งที่เพลงสนใจหรืออยากจะหาความรู้เพิ่มเติมและคิดว่าตัวเองสามารถพัฒนาไปต่อได้ก็คือการทำภาพยนตร์ ในช่วงมัธยมอาจารย์ได้แนะนำให้เพลงทำหนังสั้น ซึ่งอาจารย์ก็มองว่าเพลงค่อนข้างมีพรสวรรค์ในการ create มุมภาพ หรือ create อะไรก็ตามที่เกี่ยวกับการถ่ายทำภาพยนตร์ เพลงจึงเริ่มมาเอาดีในด้านนี้

         ตอนแรกที่เข้ามาเรียนภาพยนตร์ เพลงอยากจะเป็นผู้กำกับ จึงทำให้ตั้งแต่ที่เรียนมาเพลงชอบการเรียนเขียนบทมากที่สุด เพราะการเรียนเขียนบทเป็นอะไรที่รู้สึกว่า เพลงได้ใส่ความเป็นตัวเองลงไปได้มากที่สุด มีงานหนึ่งอาจารย์ให้โจทย์มาว่า “ให้ทำหนัง 3 นาที ทำบทออกมา คุณจะทำบทอะไรก็ได้” 

         เพลงจึงเลือกเขียนบทแนว Thriller ซึ่งโดยส่วนตัวเป็นคนที่ชอบแนว Thriller อยู่แล้ว แต่เวลาที่ไปเรียนหรือทำงานกับคนอื่น มีคนส่วนน้อยมากที่จะชื่นชอบแนวเดียวกันกับเพลง พอได้ลองเขียนออกมา เพลงเลยมองว่า วิชาเขียนบทเป็นวิชาที่ได้ทั้งกำกับภาพที่เราเห็นในหัว ได้ทั้งการเขียน ซึ่งในแขนงการเขียนนั้นนอกจากบทภาพยนตร์แล้วยังสามารถเอาไปเขียนเป็นนวนิยายได้ด้วย ก็เลยรู้สึกว่าชอบในด้านนี้นั่นเอง แต่สุดท้ายแล้วถ้าให้เลือกจริง ๆ จบออกไปก็อยากจะเป็นนักแสดง

วงการภาพยนตร์ไทยในปัจจุบัน

         เพลงมองว่าบุคลากรในภาพยนตร์ไทยเป็นบุคคลที่มีความสามารถมาก แต่หลายคนก็เลือกที่จะไปทำงานในต่างประเทศเพราะว่าทั้งรายได้ดีและมีงบประมาณที่สูงมากกว่าการที่ทำงานในไทย ซึ่งตรงนี้มองว่าประเทศไทยมีทุกอย่างครบหมดแล้ว เหลือเพียงแค่กำลัง support จากคนไทยด้วยกันเอง ก็เลยอยากจะให้ทุกคนช่วยกันสนับสนุนวงการภาพยนตร์ไทยให้ไปไกลในระดับสากลกัน

ชื่อเพลงเกี่ยวข้องกับดนตรี

         เพลงเกิดและเติบโตในร้านดนตรีของคุณพ่อ ชื่อว่า TUI Music ที่ร้านจะมีผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับดนตรีมากมายเลย ทำให้มีความผูกพันเกี่ยวกับดนตรี รวมถึงครอบครัวของเรา ก็เป็นครอบครัวที่ปลูกฝังเกี่ยวกับดนตรีมาตั้งแต่เด็ก ๆ เรียกได้ว่า ดนตรีคือสิ่งที่เยียวยาทั้งจิตใจและเป็นสิ่งที่ผูกพันครอบครัวของเราเอาไว้ให้อยู่ด้วยกันได้จนถึงทุกวันนี้ นั่นเลยเป็นเหตุผลที่ตัวเอง ชื่อเพลงด้วย คุณพ่อได้บอกความหมายว่าที่ตั้งชื่อว่าเพลง เพราะว่าคุณพ่ออยากจะให้เพลงร้องเพลงให้ฟังในตอนที่แก่แล้ว หรือในตอนที่คุณพ่อคิดถึงเสียงของเพลง

         เพลงเติบโตที่กรุงเทพฯ คุณพ่อเป็นคนอีสาน ส่วนคุณแม่เป็นคนใต้ แต่เพลงพูดภาษาไหนไม่ได้เลย ในตอนเด็ก เพลงจะมีอยู่ 3 ช่วง ในช่วงแรก เพลงเป็นเด็กที่มั่นใจในตัวเองมาก ๆ แต่พอมาถึงวัยรุ่นช่วงที่ 2 เพลงเป็นเด็กที่ขี้อายมาก ไม่กล้าทำอะไรเลย ด้วยสังคมที่อยู่และด้วยความเป็นวัยรุ่นก็ต้องมีความขี้อายเป็นเรื่องปกติ แล้วพอมาถึงช่วงที่ 3 ก็คือช่วงนี้ คือช่วงที่เพลงกำลังจะเป็นผู้ใหญ่แล้ว ก็เลยเริ่มที่จะสามารถจัดการกับชีวิตตัวเองได้ในระดับหนึ่ง ตรงที่ว่า เราก็ยังเป็นคนขี้อายอยู่ แต่เราอายถูกสถานการณ์ ถูกที่ แล้วก็ใช้ความ extrovert ได้ถูกสถานการณ์

ชีวิตเด็ก BUFILM

         ส่วนตัวมองว่าช่วงนี้ เป็นช่วงที่กำลังเก็บเกี่ยวความรู้ได้อย่างเต็มที่ มากกว่าที่ตัวเองใช้ชีวิตที่ผ่านมา เนื่องจากสำหรับใน 2 ปี ที่ผ่านมา เพลงได้มีการย้ายบ้าน ซึ่งการย้ายบ้านในครั้งนั้น มันทำให้เป็นอีกหนึ่งจุดเปลี่ยนในชีวิตของเพลงเลย ในการที่จะได้ออกมาเจอกับโลกภายนอกมากยิ่งขึ้น และตั้งแต่ที่ได้เข้ามหาวิทยาลัยมา เพลงก็มองว่าตัวเองสามารถเก็บเกี่ยวความรู้ได้อีกเยอะมากเลย

         ในเรื่องของการเรียน เพลงยังสามารถเรียนรู้ได้อีกมาก ถึงแม้ว่าหลายคนอาจจะมองว่าเพลงทำหลายอย่างมาเยอะแล้ว แต่ส่วนตัวของเพลง เพลงมองว่า “มนุษย์ทุกคนสามารถเรียนรู้ได้เรื่อย ๆ ไม่ว่าคุณจะอายุ 10 ขวบ ไปจนถึง 70 หรือไม่ว่าคุณจะมีอายุขัยเท่าไหร่ก็ตาม การเรียนรู้เป็นสิ่งที่สำคัญ เราต้องเรียนรู้ในการที่จะปรับเปลี่ยน ปรับตัว ต้องเรียนรู้ว่าโลกไปถึงไหนแล้วเราถึงจะเข้าใจได้ว่า สิ่งที่เราเป็นอยู่นั้นคืออะไร”

         เรื่องเพื่อน เพลงรู้สึกว่า เพลงได้เจอกับผู้คนที่มากหน้าหลายตา มีทั้งเพื่อนที่ใจดี และเพื่อนร่วมงานที่ดี ทำให้เพลงได้เจอกับสังคมที่หลากหลาย เพลงเป็นคนที่วิ่งเข้าหางานอยู่แล้วเลยมองว่าสนุกดี รู้สึกว่าการทำงานเป็นอะไรที่สนุกมากเลย เรื่องของความรัก เพลงอาจจะค่อยมองอีกทีในอนาคต แต่ก็คาดหวังไว้แล้วว่าอีกซัก 10 ปีข้างหน้า อะไรฟิลนี้ ตอนนี้ยังไม่ได้โฟกัสเป็นหลัก แล้วด้วยความที่เพลงไม่มีความรักมานาน เลยทำให้ปฏิบัติตัวกับคนที่เข้าหา ค่อนข้างที่จะแปลกประหลาดไปซักนิดหนึ่ง แปลกประหลาดที่แปลว่า แปลกมาก ๆ เลย จนบางครั้งไม่รู้ว่าสรุปแล้วเข้ามา อะไร ยังไง ก็เลยจะมองเป็นเรื่องงานไปก่อนหมดเลย

เรียนรู้ระหว่างทำงานจริง

         การทำงานในรั้วมหาวิทยาลัยคือการที่เราทำงานกับคนใกล้ตัว พี่น้อง หรือว่าเพื่อนนั้นเอง จึงทำให้การทำงานค่อนข้างที่จะสบายมากกว่าการทำงานข้างนอก เพราะว่าการทำงานข้างนอกแปลว่า เรามีโอกาสที่จะได้ร่วมงานกับคนทั้งโลก หรือว่าได้ร่วมงานกับคนหลากหลายรูปแบบ ทำให้การทำงานในรั้วมหาวิทยาลัยแตกต่างมากกับการทำงานข้างนอก แต่ใครที่เริ่มทำงานจากข้างนอกและมาทำงานร่วมกันกับมหาวิทยาลัยจะเป็นคนที่สามารถทำงานได้อย่างราบรื่น

ก้าวสู่งานพิธีกร MC of BU

         จริง ๆ ในตอนแรกเพลงไม่ได้ตั้งใจที่จะลงแข่งขัน Mc of BU แต่ด้วยความที่เพลงเลื่อนไปเห็นโพสจากทางเว็บไซต์ของมหาวิทยาลัยเลยเกิดความสนใจขึ้นมา และการทำพิธีกรเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่เพลงกลัวมาก ๆ เพราะเพลงรู้สึกว่าตัวเองพูดไม่เก่ง แต่ไม่ได้คาดหวังว่าตัวเองจะต้องได้เป็น Mc of BU เพียงแค่ต้องการเข้าร่วม Workshop เพื่อที่จะพัฒนาศักยภาพของตัวเองที่ไม่มีอยู่ในตัว Mc of Bu คิดว่ายิ่งใหญ่มากเลย เพราะว่าอะไรก็ตามที่ลงท้ายด้วย แห่งมหาวิทยาลัยกรุงเทพ ถือว่าเป็นบุคคลที่เป็นสาธารณะและเป็นภาพลักษณ์ให้แก่มหาวิทยาลัย

         อุปสรรคที่ได้เรียนรู้จากงานพิธีกร เพลงไปเรียกผู้ชมว่าลูกค้า ในตอนที่เพลงประกวด ช่วงนั้นเพลงขายของ เลยทำให้สิ่งแรกที่เป็นอุปสรรคคือ ความเคยชิน เราต้องลดความเคยชินบางอย่างของเราออกไป เพราะ MC จะต้องเป็นคนที่ดำเนินรายการและเป็นคนที่ทำให้งานนั้นผ่านไปได้ด้วยดี

         ถ้าเกิดว่าเราทำการบ้านมาได้ไม่ดีพอ หรือว่าเรามีข้อผิดพลาดในบางส่วน อาจจะทำให้เป็นที่จับตามองสำหรับผู้รับชมที่อยู่ด้านล่าง และอีกหนึ่งอุปสรรคคือ ความกดดันที่ได้รับ เพราะในการทำ MC นั้นจะผ่านไปได้ด้วยดีก็ต่อเมื่อ ผู้ดำเนินรายการหรือ MC เป็นคนพูดส่ง คนพูดเปิดพูดปิด

         เพราะโดยปกติแล้ว เวลาเพลงขึ้นเวทีไปจะเป็นเวทีสำหรับการร้องเพลงหรือการแสดงโชว์ แต่ในครั้งนี้คือการพูดและการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า ต้องพูดให้ทุกคนเข้าใจ พูดให้รู้เรื่อง พูดให้กระชับ และประสบการณ์ที่ได้รับอย่างต่อมาเลยคือ เพลงได้เรียนรู้ว่าในการทำแต่ละอย่าง เราควรที่จะมีความมั่นใจในตัวเอง และหมั่นฝึกฝนตัวเองอย่างสม่ำเสมอ นั่นคือประสบการณ์ที่เพลงได้รับ

ความฝันของเพลง

         ความฝันจริง ๆ แล้วของเพลงคือการได้ร้องเพลงกับพี่สาว ภาพที่ฝันคือ ร้องด้วยกันบนเวที เป็นศิลปินด้วยกัน เพลงจะบอกทุกคนเสมอว่าความฝันสูงสุดคือการเป็นศิลปิน ศิลปินของเพลงคือการที่ได้ร้องเพลงบนเวทีกับพี่สาว ได้เห็นคุณพ่อคุณแม่ชื่นชมเราจากด้านล่างเวทีตรงนั้น การที่ได้มีเพลงของตัวเองแล้วได้ร้องเพลงกันอย่างมีความสุขกับพี่สาว และการที่ได้ใช้ชีวิตแบบมีความสุขกับอาชีพที่ตัวเองเป็นอยู่

         แต่สำหรับเพลงในตอนนี้มองว่า คนก็ยังรู้จักเราในภาพลักษณ์ตอนมัธยมว่าเรา Cover เพลง แต่ก็จะยังมีคนบางกลุ่มที่ติดตามอยู่ว่าชีวิตปัจจุบันเป็นยังไงบ้าง แต่สิ่งที่เพลงกลัวมากที่สุดเลยในการทำโซเชียลมีเดียตอนนี้คือคำว่าตำนาน จะเป็นอะไรที่มันเก่าไปแล้ว แต่ในปัจจุบันศิลปินหรือ Influencer ใครจะเป็น ก็เป็นได้ ทุกอย่างมันมาไวไปไว ทุกวันนี้เพลงก็เลยพยายามมองหาอะไรใหม่ ๆ ที่จะทำให้ตัวเองสามารถอยู่ในจุด ๆ นี้ได้เรื่อย ๆ  แล้วก็อยากจะพยายามหาเส้นทางหรือว่าหาแนวทางในการที่ตัวเองจะยังอยู่ได้แล้วก็ไปได้ไกลมากกว่านี้

         เพลงก็อยากจะฝากถึงคนที่กำลังตามหาความฝันว่า “ในทุกความฝันอย่างที่ทุกคนรู้เลยต้องมีอุปสรรคอยู่แล้ว เราจะรับมือได้มากน้อยแค่ไหน เราจะอดทนกับมันได้มากน้อยแค่ไหน จริง ๆ แล้วคำแนะนำของตัวเพลงที่ให้ไป หลายคนก็อาจจะเอาไปปรับใช้ก็ได้ หรือไม่ใช้ก็ได้ เพราะว่าในสิ่งที่เราเจอมาหรือว่าเส้นทางที่เราเลือกเดินของแต่ละคนมันไม่เหมือนกันอยู่แล้ว”

         “สิ่งที่เราทำได้นั่นก็คือ อย่าทิ้งสิ่งที่เราต้องการจริง ๆ เพลงก็เป็นอีกหนึ่งคนที่ท้อเหมือนกัน แล้วก็ไม่ใช่แค่ครั้งเดียว เพลงท้ออยู่ในหลายครั้งที่เวลาทำอะไรไม่สำเร็จ แต่อาจจะด้วยเพราะว่ามีกำลังใจจากคนรอบข้าง แต่เราต้องอย่าลืมว่าคนที่ทำให้เราขับเคลื่อนในแต่ละวันนั่นก็คือตัวของเราเอง อย่าลืมที่จะให้กำลังใจตัวเอง อย่าลืมว่าสิ่งที่ตัวเองต้องการคืออะไร จงทำความฝันนั้นให้เป็นจริง แม้ว่ามันจะนานสักเท่าไหร่ เพลงเชื่อว่าทุกคนทำได้แน่นอน”

         เรื่องราวของเพลงในหลากหลายมิติ ทั้งการเรียน การทำกิจกรรม และการเดินตามความฝันในเส้นทางที่ตนเองชอบ พวกเราเชื่อแน่ว่าจะเป็นแรงบันดาลใจให้กับทุกคนได้

ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบ เพลง-ศิริพักตร์ชา เวชกามา รุ่นพี่นักศึกษาคณะดิจิทัลมีเดียและศิลปะภาพยนตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ

Writer

นักศึกษาคณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ

Writer

นักศึกษาคณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ