พิชญ์-พิชญเทพ ยุกตะเสวี ผู้สานต่อแบรนด์ “นมตรามะลิ” ด้วยหัวใจของคนรุ่นใหม่

Smooth Handover รับไม้ต่ออย่างไรให้แบรนด์ไม่สะดุด งานสัมมนาของนักศึกษาภาควิชาการสื่อสารและสื่อใหม่ คณะนิเทศศาสตร์ ม.กรุงเทพ

         “หากเด็กคนนั้นในอดีต มองขึ้นมาหาเราในวันนี้ เขาจะภูมิใจแค่ไหนที่เราได้เดินมาถึงตรงนี้” คำพูดนั้น ในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้าจะถูกเอ่ยโดย คุณพิชญ์พิชญเทพ ยุกตะเสวี ผู้บริหารรุ่นใหม่แห่งบริษัทอุตสาหกรรมนมไทย จำกัด ผู้สานต่อแบรนด์ นมตรามะลิเขาได้เดินทางมาที่มหาวิทยาลัยกรุงเทพ เพื่อส่งต่อแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์แบรนด์ ท่ามกลางการต้อนรับอย่างอบอุ่นของทีมนักศึกษาที่จัดงานสัมมนา และความคิดเรื่อง “การส่งต่อ” ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว

         งานสัมมนา Smooth Handover: รับไม้ต่ออย่างไร ให้แบรนด์ไม่สะดุด! ถ่ายทอดเรื่องราวการรับไม้ต่อแบรนด์ “นมตรามะลิ” จากรุ่นสู่รุ่น ผ่านมุมมองของ คุณพิชญ์พิชญเทพ ยุกตะเสวี ผู้บริหารรุ่นใหม่แห่งบริษัทอุตสาหกรรมนมไทย จำกัด ผู้สืบทอดหัวใจของแบรนด์ด้วยความเข้าใจ ความรัก และวิสัยทัศน์ของคนรุ่นใหม่ งานจัดขึ้นเมื่อวันศุกร์ที่ 17 ตุลาคม 2568 เวลา 12.00-14.20 น. ณ ห้อง A5-501 มหาวิทยาลัยกรุงเทพ (Main Campus) โดยนักศึกษาชั้นปีที่ 4 ภาควิชาการสื่อสารและสื่อใหม่ คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ

ความทรงจำแรกกับ “มะลิ”

         ภายในห้องสัมมนา ผู้ฟังทยอยนั่งเรียงตัวกันบนเก้าอี้ เพื่อตั้งใจฟังคุณพิชญ์เล่าถึงความทรงจำแรกของคุณพิชญ์กับ “มะลิ” ที่ไม่ได้เริ่มจากโต๊ะทำงานของผู้บริหาร หากเริ่มจากโต๊ะอาหารในวัยเด็กที่บ้านกับคุณแม่ ผู้หญิงที่ใช้หนึ่งหัวใจแทนสองมือ เลี้ยงลูกสองคนให้เติบโตด้วยความเข้าใจ กลิ่นนมยังคงอยู่ในความทรงจำ แต่สิ่งที่น่าจดจำยิ่งกว่าคือ ความพยายามของแม่ที่คอยยื่นนมกล่องให้ลูกชายทุกวัน แม้เจ้าตัวจะไม่ค่อยยอมดื่มนักในตอนนั้นก็ตาม

         “แม่เลี้ยงผมกับพี่สาวมาครับ สิ่งที่ผมเห็นตั้งแต่เด็ก คือความเสียสละของท่านในทุกวัน” ก่อนเสริมว่า ภาพของแม่ในวันเหล่านั้นกลายเป็นเหมือนเกณฑ์มาตรฐานในใจ ที่ทำให้ยังเดินต่อมาได้จนถึงวันนี้

         สิ่งหนึ่งที่คุณพิชญ์ได้รับจากรุ่นก่อน และถือเป็นหัวใจหลักของการทำงานในปัจจุบัน คือ “เราเป็นบริษัทนมของคนไทย เพื่อคนไทย”

         คุณพิชญ์เล่าว่า แบรนด์ในยุคที่ยังไม่มีตู้เย็นในทุกบ้าน ทำให้ “นมข้นหวาน” คือคำตอบที่เข้าถึงผู้คนได้จริง ทุกคนรู้จักวิธีผสมนมกับน้ำร้อนในแบบของตัวเอง มันคือภาพจำของความอร่อยเรียบง่ายในยุคหนึ่ง แต่ในอีกด้านหนึ่ง “มะลิ” ก็พยายามก้าวไกลกว่านั้น เช่น ผลิตภัณฑ์เนย หรือนม UHT ฯลฯ

         เมื่อพิธีกรถามว่า หากต้องแนะนำแบรนด์ให้คนที่ไม่รู้จักเลย จะแนะนำอย่างไร คุณพิชญ์หัวเราะเบา ๆ ก่อนตอบอย่างตรงไปตรงมา “ส่วนใหญ่คนจะนึกถึงนมข้นหวานก่อนเลยครับ แต่จริง ๆ แล้วเราตั้งใจจะเป็นแบรนด์โภชนาการเพื่อคนไทย”

เรื่องราวและจุดเปลี่ยนของการตัดสินใจรับช่วงต่อ

         ไฟเวทีอุ่นนวลยังนิ่ง ผู้ฟังเงียบลงเมื่อ คุณพิชญ์–พิชญเทพ ยุกตะเสวี เริ่มเล่าถึงเส้นทางของตัวเองแบบตรงไปตรงมา “ตอนผมอายุสิบเจ็ด ผมคิดว่าตัวเองพร้อมจะทำทุกอย่างแล้วครับ” เขาพูดพลางหัวเราะเบา ๆ “ไฟแรง อยากเปลี่ยน อยากทำอะไรใหม่ ๆ ไปหมด แต่จริง ๆ แล้วตอนนั้นเรายังไม่เข้าใจเลยว่าการทำงาน มันต้องมีทั้งการสื่อสารและความเข้าใจคนอื่นมากแค่ไหน”

         คุณแม่เป็นคนบอกให้เขา “ออกไปข้างนอกก่อน” ให้ไปหาประสบการณ์ในโลกจริงก่อน  “ตอนนั้นผมก็ยังไม่เข้าใจหรอกครับ ว่าทำไมต้องออกไป แต่วันนี้รู้แล้วว่าท่านอยากให้เราเจอโลกข้างนอก”

         เขาเริ่มต้นเส้นทางอาชีพในฐานะที่ปรึกษาธุรกิจ (Consultant) ในช่วงอายุ 20 ต้น ๆ โลกใบใหม่ที่เต็มไปด้วยการเรียนรู้วิธีคิดแบบ Data-driven ซึ่งเน้นการตัดสินใจจากข้อมูลและข้อเท็จจริง “ผมได้เห็นว่าธุรกิจที่ยั่งยืน มันต้องอยู่บนรากฐานของความเข้าใจ”

         เวลาผ่านไป เสียงโทรศัพท์จากบ้านก็ดังขึ้น เสียงของคุณแม่ต้องการให้กลับมาทํางานที่บ้าน เขานิ่งไปครู่ “ตอนนั้นงงเลยครับ เพราะก่อนหน้านั้นแม่เองก็เป็นคนบอกให้เราออกไปดูโลก แต่สุดท้ายกลับเรียกกลับมา”

         เมื่อกลับมาสู่ธุรกิจครอบครัว เขาพบว่ามันไม่เหมือนภาพจำในวัยเด็กอีกต่อไป เขาเลือกเริ่มจากสิ่งที่เขามองว่าสำคัญ คือ โรงงาน เริ่มปรับปรุงระบบการผลิต เพิ่มมาตรฐานสิ่งแวดล้อม และเปิดพื้นที่ให้ทีมวิจัยและพัฒนาได้ทดลองคิดค้นผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ เพื่อขยายแบรนด์ในแนวทางที่หลากหลายมากขึ้น

         “ตอนนั้นผมตั้งเป้าไว้เลยครับ ว่ามะลิจะต้องเป็นแบรนด์อาหารและเครื่องดื่มของคนไทย ที่สมบูรณ์ ไม่ใช่แค่แบรนด์นมข้นหวานหรือเนย”

         เมื่อพิธีกรถามว่า ความตั้งใจวันแรกกับวันนี้เปลี่ยนไปไหม เขาตอบด้วยรอยยิ้มที่อบอุ่น “มันยังเหมือนเดิม ผมยังอยากให้มะลิเป็นบริษัทนมของคนไทย เพื่อคนไทย และเติบโตแบรนด์อาหารและเครื่องดื่มที่คนไทยภูมิใจ เพียงแต่วันนี้ผมเข้าใจมากขึ้นแล้วหลังจากได้ไปเผชิญโลกข้างนอก ว่า การเปลี่ยนแปลง คือเรื่องของการเข้าใจ”

ความท้าทายของการรักษาหัวใจของแบรนด์ พร้อมพัฒนาอนาคต

         บรรยากาศในห้องก็อบอุ่นขึ้นราวกับทุกคนกำลังนั่งฟังเรื่องราวสำคัญในชีวิต คุณพิชญ์เริ่มต้นหัวข้อใหม่ด้วยเสียงเรียบแต่มั่นคง หัวข้อที่สะท้อนให้เห็นหัวใจของ “มะลิ” อย่างแท้จริง “สิ่งที่สำคัญที่สุดของเราคือการรักษาหัวใจเดิมไว้ครับ “มะลิ” เป็นแบรนด์นมของคนไทย เพื่อคนไทย” เขาหยุดเว้นจังหวะ ก่อนเสริมว่า “แต่ในขณะเดียวกัน เราก็ต้องเปิดทางให้คนรุ่นใหม่ได้รู้จักเราในแบบของเขาเอง”

         ในโลกออนไลน์ แบรนด์ใช้สื่อ Social Media โดยเฉพาะอย่าง TikTok เป็นเวทีเล่าเรื่องด้วยภาษาที่เข้าถึงง่าย สนุก และร่วมสมัย พูดเรื่องสุขภาพ โภชนาการ และแรงบันดาลใจในชีวิตประจำวัน ส่วนในโลกออฟไลน์ แบรนด์ยังคงสื่อสารด้วยความอบอุ่นแบบเดิม ผ่านกิจกรรมกับร้านค้า ชุมชน และผู้บริโภคที่เติบโตมากับมะลิ “สองช่องทางนี้ต้องไปด้วยกันครับ ออนไลน์เพื่อเปิดประตูให้คนรุ่นใหม่ ออฟไลน์เพื่อรักษาความผูกพันของคนรุ่นก่อน”

         สิ่งหนึ่งที่ทำให้มะลิโดดเด่นกว่าเพื่อนร่วมตลาด คือ “ความเป็นธุรกิจครอบครัว” ที่ยังตัดสินใจได้รวดเร็ว ไม่ต้องรอคำสั่งจากสำนักงานใหญ่ในต่างประเทศเหมือนแบรนด์ใหญ่ ๆ การมีอิสระนี้ทำให้มะลิสามารถขยับตัวได้ไว และทดลองสิ่งใหม่โดยไม่ต้องสูญเสียความเป็นตัวเอง

         เมื่อพิธีกรถามถึงวิธีรับมือกับ “ความคาดหวังที่ต่างกันระหว่างสองรุ่น” เขาตอบเพียงสั้น ๆ แต่ชัดเจนว่า “สร้างความหลากหลายให้พอ” เขาหมายถึงการขยายผลิตภัณฑ์ให้ตอบโจทย์ผู้บริโภคที่แตกต่าง ทั้งในรสชาติ รูปแบบ และช่องทาง เพื่อให้แบรนด์สามารถเลือกสื่อสารอย่างเหมาะสมกับแต่ละกลุ่ม โดยไม่ต้องบังคับให้ทุกคนชอบสิ่งเดียวกัน

การเปลี่ยนแปลงเพื่อสร้างการเดินหน้าที่แท้จริง

         เมื่อพูดถึงการเปลี่ยนแปลง คุณพิชญ์ยิ้มกว้างขึ้นเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงเส้นทาง “สิ่งสำคัญของการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ คือการเข้าใจผู้บริโภคจริง ๆ ครับ” ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ “นมข้นหวานแบบหลอดบีบ” ผลิตภัณฑ์ที่เกิดจากการตั้งคำถามง่าย ๆ ว่า “จะมีสักกี่คนที่เปิดกระป๋องนมข้นหวานได้สะดวก?”

         วันหนึ่งระหว่างไปต่างประเทศ เขาเห็นนมบรรจุในหลอดคล้ายยาสีฟัน “บีบกินได้เลย” เขายิ้มเมื่อนึกถึงตอนนั้น “ผมคิดทันทีว่านี่แหละ สิ่งที่ตอบโจทย์คนไทยในยุคเร่งรีบ” เพราะผู้บริโภคยุคใหม่ไม่ใช่แค่ผู้ประกอบการร้านกาแฟอีกต่อไป แต่เป็นคนทั่วไปที่อยากใช้งานง่าย เก็บสะดวก และพกพาได้

         ไม่นานหลังจากนั้น “มะลิหลอดบีบ” ก็ถือกำเนิดขึ้น และต่อยอดด้วย “นมโอ๊ตหลอดบีบ” ผลิตภัณฑ์ที่นำแนวคิด Plant-based เข้ามาผสมกับรากเดิมของแบรนด์ “นี่เป็นครั้งแรกในประเทศไทยครับ ที่มีนมโอ๊ตในรูปแบบนมข้นหวาน เพราะเราเห็นว่าความต้องการสินค้าจากพืชกำลังเพิ่มขึ้นจริง ๆ”

         แน่นอนว่า การเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ย่อมตามมาด้วยคำถามจากผู้บริโภค โดยเฉพาะในช่วง Covid “ตอนนั้นมีคนเข้าใจผิดว่าหลอดบีบคือเจลแอลกอฮอล์” เขาหัวเราะ “เราก็ต้องสื่อสารให้เข้าใจว่า นี่คือนมข้นหวานจริง ๆ” เช่น การสร้างคอนเทนต์ที่ผูกกับชีวิตประจำวัน และการร่วมมือกับภาพยนตร์ Friend Zone ของ GDH เพื่อให้ผู้ชมเห็นนมมะลิอยู่ในฉากจริงของชีวิต

         เมื่อพูดถึงโลกดิจิทัล เขาเล่าด้วยแววตาสนุก “TikTok คือช่องทางที่เราได้พูดคุยกับผู้บริโภคโดยตรง เห็นความคิด และเข้าใจพวกเขามากขึ้น” แม้ตอนเริ่มทำวิดีโอจะยังเกร็ง แต่ทุกครั้งที่สื่อสารออกไป เขาเห็นแบรนด์เข้าใกล้ผู้คนมากขึ้นเรื่อย ๆ “จริง ๆ แล้วแบรนด์เรามีทั้ง Facebook, Instagram แต่ TikTok นี่แหละครับที่เห็นผลเร็วสุด ทั้งยอดผู้ชมและการตอบรับที่จริงใจมาก”

การทำงานร่วมกันระหว่างเจเนอเรชัน

         ขณะเอ่ยถึง “การทำงานร่วมกันระหว่างเจเนอเรชัน” น้ำเสียงของคุณพิชญ์เรียบง่ายแต่ชัดถ้อยชัดคำ “ในองค์กรของเรามีครบทุกเจน ตั้งแต่ Baby Boomers จนถึงเจน Z ครับ ทุกวันนี้เราทำงานร่วมกันได้ดีมาก ซึ่งไม่ได้เกิดขึ้นในวันเดียว มันต้องใช้เวลาและความเข้าใจจริง ๆ”

         คำว่า “เข้าใจ” ถูกเน้นด้วยรอยยิ้มบางเบา “คนรุ่นใหม่อย่างพวกผมมีไอเดีย มีไฟ และมีองค์ความรู้จากโลกอินเทอร์เน็ต โซเชียลมีเดีย เทคโนโลยี แต่สิ่งที่เรายังไม่มีคือ ประสบการณ์ สิ่งที่ต้องใช้เวลาและการลงมือจริง ถึงจะเข้าใจว่าความรู้จะถูกแปรไปเป็นการกระทำได้อย่างไร”,

         เขาหยุดครู่หนึ่ง ราวกับกำลังย้อนมองตัวเองในวัย 17 “ตอนนั้นผมมีไฟครับ แต่ยังไม่รู้ว่าจะเอาความรู้นั้นไปใช้ยังไง จนได้มาทำงานกับคนหลายรุ่น ถึงได้เรียนรู้ว่าทุกคนมีบางอย่างให้เราฟัง ถ้าเราถอยหลังมานิด ยอมรับฟังมากขึ้น ความเข้าใจก็จะค่อย ๆ เกิด และเมื่อเข้าใจกันจริง ๆ การทำงานจะง่ายขึ้นกว่าที่คิด”

         เสียงหัวเราะเบา ๆ ดังจากผู้ฟังเมื่อเขาเล่าถึงช่วงเวลาที่ต้องปรับตัวในองค์กร “แน่นอนครับ ตอนเริ่มต้นมันก็มีขัดแย้งกันบ้าง แต่พอเปิดใจมันกลับกลายเป็นพื้นที่ ที่เราสามารถแลกเปลี่ยนความคิดได้โดยไม่ต้องกลัวผิดถูก”

         เมื่อมีคนถามถึงจุดแข็งของแต่ละรุ่น เขายิ้มกว้างขึ้น “คนรุ่นใหม่มีความคิดสร้างสรรค์ มีเทคโนโลยี มีมุมมองทันโลก ส่วนคนรุ่นก่อนมีประสบการณ์ รู้ว่าจุดไหนควรเสี่ยง จุดไหนควรหยุด รู้ว่าบางอย่างไม่ได้ต้องใช้ AI หรืออินเทอร์เน็ตถึงจะเวิร์ก”

         เขาพูดพร้อมยกมือประกอบ “เมื่อเอาสองสิ่งนี้มาผสมกัน มันเหมือนการนำความเร็วของเจนใหม่มารวมกับความนิ่งของเจนเก่า เกิดสมดุลที่ทำให้การทำงานสวยงามและมั่นคงขึ้นจริง ๆ”

         แรงบันดาลใจและเส้นทางอนาคตของแบรนด์

         แสงของวันยังคงลอดผ่านผ้าม่านบางในห้องสัมมนา เน้นให้คำพูดของคุณพิชญ์ ชัดเจนยิ่งขึ้นเมื่อเขาเอ่ยถึงสิ่งที่เป็นแรงบันดาลใจหลักในชีวิต “ครอบครัวครับ โดยเฉพาะคุณแม่ ทุกวันนี้ที่มายืนอยู่ตรงนี้ได้ก็เพราะท่าน การเห็นแม่ทำงานหนักทุกวันคือแรงผลักดันที่ทำให้ผมอยากทำให้ดีที่สุด อยากสานต่อสิ่งที่ครอบครัวเริ่มไว้ให้ไปได้ไกลกว่านี้”

         เมื่อมองไปข้างหน้า คุณพิชญ์ยิ้มอย่างเรียบง่าย “ผมไม่ได้ฝันอยากเป็นเจ้าสัวหรืออะไรใหญ่โตไปกว่านี้หรอกครับ แต่อยากเห็นบริษัทเติบโตอย่างมั่นคง ผลิตสินค้าที่ดีต่อสุขภาพและดีต่อคนไทยจริง ๆ อยากให้มะลิยังคงเป็นนมไทยเพื่อคนไทยเหมือนเดิม แต่เข้ากับยุคสมัยได้มากขึ้น”

         เขาหยุดครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดถึงสิ่งที่แบรนด์ตั้งใจจะมอบกลับคืนสู่สังคม “ตั้งแต่อดีต มะลิคิดทุกกิจกรรมด้วยหัวใจของคนไทย ไม่ว่าจะเป็นช่วงน้ำท่วมที่เราเข้าไปช่วยเหลือ หรืออย่างในอดีตที่คุณทวดเคยส่งเสริมกีฬาให้กับนักเรียนระดับมัธยม เราอยากรักษาสิ่งนั้นไว้ ทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมเหมือนที่รุ่นก่อนทำ”

ความรักคือพลังสำคัญในการสร้างสรรค์แบรนด์

         “ผมอยากให้เริ่มจากความรัก ถ้าเรารักในสิ่งที่ทำจริง ๆ วันหนึ่งเราจะทำมันได้แน่นอน” คุณพิชญ์เอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบง่าย ก่อนจะเว้นช่วงเล็กน้อยราวกับชวนให้ทุกคนได้คิดตาม “แล้วลองคิดดูสิครับ หากเด็กคนนั้นในอดีต มองขึ้นมาหาเราในวันนี้ เขาจะภูมิใจแค่ไหนที่เราได้เดินมาถึงตรงนี้”

         เสียงของ คุณพิชญ์-พิชญเทพ ดังก้องในห้องสัมมนา ท่ามกลางแสงอุ่นที่ลอดผ่านกระจกมหาวิทยาลัยกรุงเทพ มาสัมผัสโต๊ะ เก้าอี้ และหัวใจของผู้ฟัง

         และเมื่อถูกถามว่าอยากให้ผู้คนจดจำในฐานะใด “ถึงบริษัทจะมีอายุกว่า 60 ปี แต่ผมทำงานกับมันเหมือนเป็นสตาร์ทอัพ” คุณพิชญ์เล่าต่อด้วยนํ้าเสียงที่มั่น “เราจะมา Rebrand Reform Resurgent ไปพร้อมกัน ผมอยากให้คนจดจำว่าเราเป็นรุ่นที่พาแบรนด์มะลิกลับมา ในภาพลักษณ์ใหม่ มาตรฐานใหม่ และหัวใจเดิมที่ไม่เคยเปลี่ยน”

         เมื่อเสียงปรบมือสุดท้ายจางลง บรรยากาศในห้องอบอวลด้วยความอบอุ่นและรอยยิ้ม ผู้ร่วมงานร้องเพลง “นมตรามะลิ” ไปพร้อมกัน ก่อนเข้าสู่กิจกรรมตอบคำถามลุ้นของรางวัล

         ไม่นานนัก คุณพิชญ์-พิชญเทพ ยุกตะเสวี ก้าวขึ้นรับกระเช้าผลไม้และรูปโพลารอยด์ที่บันทึกไว้เป็นที่ระลึก พร้อมรอยยิ้มที่จริงใจและแววตาที่สะท้อนความภูมิใจ ก่อนทีมผู้จัดจะขึ้นมาร่วมเซ็นชื่อบนกรอบรูปนั้น สัญลักษณ์เล็ก ๆ ของการส่งต่อแรงบันดาลใจจากหัวใจหนึ่งสู่อีกหัวใจหนึ่ง

         แสงจากหลอดไฟภายในห้องสัมมนาค่อย ๆ จางลง ทิ้งไว้เพียงแสงแห่งแรงบันดาลใจที่ยังส่องสว่างอยู่ภายใน และเดินทางไปถึงอีกหัวใจหนึ่งอย่างราบรื่น ไม่สะดุด สมชื่อ “Smooth Handover” แห่งแรงบันดาลใจที่ยังส่องประกายอย่างงดงาม

Writer

ทีฆทัศน์ วงค์สวัสดิ์
ทีฆทัศน์ หรือ แทน เติบโตท่ามกลางถ้อยคำในหนังสือ จังหวะในบทเพลง และภาพซ้อนทับบนจอภาพยนตร์ ทั้งหมดนั้นไม่ใช่เพียงเครื่องมือของความบันเทิง หากแต่เป็นช่องทางที่เขาใช้ฟังความรู้สึก เสียงสะท้อน และความหลากหลายของความเป็นมนุษย์