เมื่อเรื่องเล่าเริ่มต้นจากหัวใจและลมหายใจของมนุษย์ พี่แหม่ม–วีรพร นิติประภา กับบทสนทนาเรื่องวรรณกรรมและภาพยนตร์ ร่วมสร้างนักเล่าเรื่องรุ่นใหม่ให้เติบโตอย่างงดงามในอุตสาหกรรมภาพยนตร์
“หัวใจของวรรณกรรมและภาพยนตร์คือความเป็นมนุษย์ที่หายใจอยู่ในเรื่องราว ตัวละคร และถ้อยคำ” ไม่ใช่เพียงคำพูดในบทสนทนา หากคือถ้อยประโยคที่เปลี่ยนห้องฉายภาพยนตร์ในมหาวิทยาลัยกรุงเทพ ให้กลายเป็นพื้นที่สำหรับฟังเสียงของหัวใจ

Master Class: Literature & Cinema โดย พี่แหม่ม-วีรพร นิติประภา นักเขียนรางวัลซีไรท์สองสมัย ร่วมด้วย อาจารย์ณพัฎน์ จิตตภินันท์กัณตา จัดขึ้นเมื่อวันเสาร์ที่ 24 มีนาคม 2568 เวลา 10.00-12.00 น. ณ ห้อง Screening Room คณะดิจิทัลมีเดียและศิลปะภาพยนตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ


เสียงของพี่แหม่ม-วีรพร นิติประภา ดังขึ้นอย่างเรียบง่ายในความเงียบ ทว่าลึกแน่น เหมือนลมหายใจแรกที่เปล่งออกมาหลังคืนฝันยาวนาน แสงจากจอฉายทอดผ่านเบาะผ้าสีเทา เครื่องปรับอากาศส่งเสียงแผ่ว บรรยากาศนิ่งคล้ายหนังที่ยังไม่เริ่มฉาย แต่บางอย่างในใจเรากลับเริ่มขยับ เหมือนกำลังรอเรื่องเล่าที่จะพาเราย้อนกลับไปฟังตัวเอง
ที่นี่ไม่ใช่เวทีของนำเสนอเทคนิคการเขียน แต่คือพื้นที่ซึ่งวรรณกรรมและภาพยนตร์มาบรรจบ ไม่ใช่เพื่อเปรียบเทียบ แต่เพื่อเผยให้เห็นว่าทั้งสองคือการหายใจในรูปแบบที่ต่างกัน และสิ่งที่หายใจอยู่เบื้องหลังเรื่องเล่าทั้งหมดก็คือ “ความเป็นมนุษย์” ที่เราพยายามจะเข้าใจผ่านการเขียน
จุดเริ่มต้นของการค้นพบ “หัวใจ”
พี่แหม่มเล่าถึงวันหนึ่งเมื่อตอนเริ่มต้นทำงาน เธอทุ่มเทกับการเขียนอย่างเต็มที่ ใช้การกลั่นถ้อยคำให้ชัดเจน ละเอียด และถูกต้องที่สุด ทุกประโยคคือการเขียนได้ดีพอ ถ้อยคำนั้นจะพาเราไปถึงการสื่อสารที่ควรค่า แต่เมื่อถึงเวลาที่เธอต้องยื่นต้นฉบับ ก็ได้รับคำแนะนำกลับมาว่า “เขียนได้ดีนะ…แต่เหมือนยังไม่ได้เขียนด้วยใจ” คำพูดนั้นอ่อนโยน แต่ไม่เบาแรง มันสะกิดให้เธอหยุดคิด ไม่ใช่เรื่องการเขียนให้ดีขึ้น แต่คือการย้อนถามว่า “สิ่งที่ฉันเขียนนั้น มีตัวฉันอยู่ในนั้นจริงหรือเปล่า”

ในห้องฉายภาพยนตร์วันนั้น หลังจากพี่แหม่มเล่าจบ ได้ยินเสียงพูดคุยแผ่วเบา จากมุมต่าง ๆ ของห้อง บางคนหันไปพยักหน้ากับเพื่อน บ้างก็กระซิบถึงประโยคที่เพิ่งได้ยิน ไม่ใช่เพราะความไม่ตั้งใจฟัง แต่เพราะคำแนะนำนั้นแตะบางอย่างในใจ บางอย่างที่อาจเคยถูกถามกับตัวเองอย่างเงียบเชียบมาก่อน
พี่แหม่มพูดต่ออย่างเรียบง่าย แต่มั่นคง เธอไม่ได้ตำหนิอดีตตัวเอง ไม่ได้บอกว่าครั้งนั้นผิด เธอเพียงย้ำให้ฟังว่า การเขียนที่แท้จริงอาจไม่ได้เริ่มจากการรู้เทคนิค แต่อาจเริ่มจากการกล้ายอมรับว่า “ยังไม่มีหัวใจอยู่ในนั้น” แล้วค่อย ๆ ตามหา ไม่ใช่คำที่ถูกต้องที่สุด แต่คำที่มีหัวใจที่สุด

การเดินในเขาวงกต เขียนด้วยใจ และไม่กลัวจะหลงทาง
หลังจากเรียนรู้ว่าการเขียนที่ดี อาจไม่พอหากไม่มีหัวใจ พี่แหม่มก็นำแนวคิดนั้นกลับมาสู่โต๊ะเขียนหนังสืออีกครั้ง ด้วยความตั้งใจใหม่ที่ไม่ได้มองหาความสมบูรณ์แบบทางภาษา แต่ต้องการจับ “ความรู้สึกที่ยังพูดไม่ออก” ให้กลายเป็นเรื่องเล่า
ไส้เดือนตาบอดในเขาวงกต คือนวนิยายที่เขียนขึ้นด้วยหัวใจที่ไม่พยายามจะสรุปอะไร แต่มุ่งไปสู่การรับฟังบาดแผลของมนุษย์อย่างแผ่วเบา เรื่องเล่าของชาลิกา ชารียา และปราณ พี่น้องสามคนที่เติบโตมากับความขาด ความเงียบ และช่องโหว่ในความรัก ไม่ได้ดำเนินไปด้วยเหตุการณ์ใหญ่โต หากแต่พาเราเข้าไปฟังเสียงเบา ๆ ของความสัมพันธ์ที่พันกันจนแยกไม่ออกระหว่างความห่วงใยกับความเจ็บปวด


ผู้เขียนวางรายละเอียดอย่างประณีต สอดแทรกสุนทรียะของดนตรีคลาสสิก ผ้าโบราณ และรสชาติของอาหาร เข้าไปในจังหวะของเรื่องเล่า ทำให้ผู้อ่านไม่ได้แค่เห็นภาพ แต่สัมผัสได้ถึงความรู้สึกของตัวละคร อย่างลึกซึ้ง การใช้กลวิธีที่ผสมผสานระหว่างสัจนิยมกับจินตนิยาย ทำให้โลกในเรื่องมีทั้งความจริงและความฝันปะปนกัน เหมือนการเดินในเขาวงกตที่มีหมอกบางเบาห่มคลุมอยู่เสมอ
แม้นวนิยายจะเปิดเรื่องด้วยความรัก แต่แท้จริงแล้ว สิ่งที่เล่าคือบาดแผลจากครอบครัว ความเงียบที่กัดกินเราในวัยเยาว์ และความปรารถนาจะเป็นที่รักของใครสักคนโดยไม่ต้องร้องขอ นี่ไม่ใช่เพียงเรื่องของคนสามคน แต่คือภาพสะท้อนความซับซ้อนของมนุษย์ที่อยากจะรักให้ดีที่สุด ทั้งที่บางครั้งเรายังไม่รู้ด้วยซ้ำว่ารักคืออะไร
และเมื่อเขียนถึงที่สุด พี่แหม่มไม่ได้เขียนเพราะรู้คำตอบ แต่เขียนเพราะอยากจะอยู่กับความรู้สึกเหล่านั้นให้ได้นานที่สุด ในเขาวงกตที่ไม่มีทางลัด ไม่มีจุดหมายชัดเจน แต่ก็ไม่จำเป็นต้องหลง ถ้าเรากำลังฟังเสียงของหัวใจตัวเองอยู่ตลอดทาง
ไม่มีเรื่องเล่าใดที่ปราศจากความเป็นมนุษย์
หลังจากพาเราเดินลึกเข้าไปในเขาวงกตของตัวละคร พี่แหม่มค่อย ๆ ขยับมาสู่คำถามที่ใหญ่ขึ้น ไม่ใช่แค่การเขียนเรื่องใดเรื่องหนึ่งให้ดี แต่คือการตั้งใจฟังว่า “อะไรคือสิ่งที่ทำให้วรรณกรรมและภาพยนตร์ยังคงสำคัญต่อมนุษย์เสมอมา”
“ไม่มีวรรณกรรมหรือภาพยนตร์เรื่องไหนเลยที่ไม่มีความเป็นมนุษย์อยู่ในนั้น” พี่แหม่มพูดชัดถ้อย น้ำเสียงของเธอไม่ต้องเน้นย้ำให้หนักแน่น แต่ทุกคนในห้องก็รับรู้ได้ถึงความหนักแน่นในความเรียบง่ายนั้น

บางเรื่องอาจซ่อนความเป็นมนุษย์ไว้อย่างแนบเนียน บางเรื่องอาจพูดออกมาตรง ๆ บางเรื่องบอกผ่านดวงตาของตัวละคร บางเรื่องซ่อนอยู่ในคำที่ไม่เคยถูกพูด แต่ไม่ว่าจะเล่าผ่านประโยค ภาพ เสียง หรือความเงียบ ทุกเรื่องเล่าล้วนเป็นเงาสะท้อนของมนุษย์ในแบบใดแบบหนึ่งเสมอ
เราอาจพูดถึงจักรวาลอนาคต พูดถึงเทพเจ้า หรือโลกที่ไม่มีใครรู้จัก แต่สิ่งที่ทำให้เรื่องเล่านั้นยัง “เชื่อม” กับเราได้ ก็เพราะมันแตะอะไรบางอย่างในใจ แตะความรักที่เคยผิดหวัง แตะความสูญเสียที่เรายังพูดไม่ออก แตะความหวังบางอย่างที่ยังไม่กล้าขอจากโลก
ในท้ายที่สุด ไม่ว่าคุณจะเป็นนักเขียนหรือนักทำหนัง ไม่ว่าคุณจะเล่าด้วยเสียงตะโกนหรือเสียงกระซิบ สิ่งเดียวที่เราต้องฟังเสมอระหว่างทางก็คือ ความเป็นมนุษย์ของตัวเองในเรื่องนั้นยังหายใจอยู่หรือไม่

เราสะท้อนตัวเองไว้ตรงไหน ในเรื่องที่เราเล่า
เมื่อเราเข้าใจว่าไม่มีวรรณกรรมหรือภาพยนตร์ใดที่ปราศจากความเป็นมนุษย์ คำถามถัดมาที่พี่แหม่มฝากไว้กลางห้อง คือคำถามเรียบง่ายแต่พาให้ใจสะดุดชั่วขณะ
“เวลาคุณเขียนหนัง หรือเขียนเรื่อง คุณสะท้อนตัวเองไว้ในนั้นหรือเปล่า”
ไม่ใช่คำถามที่ต้องการคำตอบในทันที แต่เป็นคำถามที่รอให้เราเงียบพอจะได้ยินเสียงของตัวเอง คำถามที่อาจพาใครบางคนกลับไปยังหน้ากระดาษเก่า หรือบทพูดที่เคยเขียนไว้ เพื่อสำรวจว่ามีความรู้สึกใดซ่อนอยู่ตรงนั้น โดยที่เราอาจไม่เคยรู้ตัว
เพราะในทุกเรื่องเล่า เศษเสี้ยวของตัวเรามักแทรกซึมอยู่เสมอ อาจมาในรูปของท่าทางที่ไม่กล้าสบตา การตัดสินใจที่เปราะบาง หรือแม้แต่ความเงียบที่ตัวละครแบกไว้ตลอดทั้งเรื่อง ซึ่งทั้งหมดนั้น ไม่ได้มาจากเทคนิค แต่มาจากที่ไหนสักแห่งในใจเราเอง

พี่แหม่มบอกว่า การสะท้อนตัวเองไม่ได้หมายถึงการเปิดเผยชีวิตส่วนตัวออกมาทั้งหมด แต่มันคือการรับรู้ว่า เรากำลังเล่าจากตรงไหนของหัวใจ จากบาดแผล ความกลัว ความเงียบ หรือความรักที่ยังไม่กล้าพูด และเหนือสิ่งอื่นใด พี่แหม่มย้ำว่า “วรรณกรรมหรือภาพยนตร์ ไม่จำเป็นต้องให้คำตอบเสมอไป”
เพราะบางครั้ง การเขียนก็ไม่ได้มีไว้เพื่อไขปริศนา หากมีไว้เพื่อให้เราได้อยู่กับคำถามนั้นให้นานพอที่จะฟังเสียงของตัวเองที่อาจหล่นหายไประหว่างทาง
ความเจ็บตรงไหน เขียนตรงนั้น
หากการเล่าเรื่องคือการฟังเสียงของตัวเอง คำถามต่อมาที่สำคัญไม่น้อยก็คือ “ตรงไหนที่เจ็บ แล้วเราได้เขียนถึงมันหรือยัง” พี่แหม่มตั้งคำถามนี้ไว้กลางห้อง ไม่ใช่เพื่อให้ใครตอบทันที แต่เพื่อให้เรายอมมองจุดที่ยังเจ็บ จุดที่อาจกลายเป็นรอยแผลถาวร หากเราไม่เคยให้มันได้พูดอะไรออกมาเลย
การเขียนไม่จำเป็นต้องเริ่มจากโครงสร้างที่สมบูรณ์ แต่อาจเริ่มจากสิ่งที่ยังไม่ได้รับการเยียวยา บางอย่างที่กัดกินอยู่ลึก ๆ และบางครั้ง ความรู้สึกเหล่านั้นก็ฝังอยู่ในคำตอบที่เราคุ้นชิน เช่น “ประวัติศาสตร์” พี่แหม่มตั้งคำถามไว้ว่า “ประวัติศาสตร์คือสิ่งที่บอกว่าเราคือใคร แล้วมันคือความจริงของเราหรือเปล่า”

เราอาจเติบโตมากับเรื่องเล่าที่ถูกย้ำซ้ำมาว่าเป็นสิ่งจริง ทั้งในครอบครัว สังคม หรือแม้แต่ความทรงจำส่วนตัว แต่ในท้ายที่สุด มันอาจไม่ใช่ “ความจริงที่เรารู้สึกอยู่” เลยก็ได้ ความทรงจำในฐานะนักเขียนจึงไม่ใช่เพียงเรื่องจะจริงหรือเท็จ แต่คือการเลือกจำ เลือกเล่า และกลั่นมันออกมาให้ใกล้เคียงที่สุดกับสิ่งที่หัวใจกำลังพยายามพูด
พี่แหม่มพูดชัดว่า “การเล่าตัวเอง ไม่ได้หมายความว่าเรากำลังบอกว่าเราคือใคร” การเขียนถึงตัวเองจึงไม่ใช่การสรุปตัวตน แต่เป็นการเปิดพื้นที่ให้บางสิ่งในใจได้หายใจ ได้ปรากฏ ได้ยอมรับว่ามันยังไม่จบ
และในโลกของเธอ วรรณกรรมหรือภาพยนตร์ไม่จำเป็นต้องให้คำตอบ ไม่ต้องจบอย่างสมบูรณ์ ไม่จำเป็นต้องมีข้อสรุปที่ดีพร้อม บางเรื่องเล่ามีไว้เพื่อทำให้เรารู้ว่าคำถามยังอยู่ตรงนี้ และแค่นั้นก็เพียงพอ
ทุกเรื่องเล่าเริ่มต้นจากแนวคิด
เมื่อเรากล้ามองความเจ็บ และฟังเสียงของตัวเองอย่างแท้จริง คำถามสำคัญจึงไม่ใช่เพียงว่า “จะเล่าอย่างไร” แต่คือ “เรากำลังเล่าอะไรอยู่”
พี่แหม่มชวนให้เราถอยห่างจากเทคนิค ภาษาสวย หรือโครงสร้างที่ดูสมบูรณ์ แล้วกลับมาหาต้นกำเนิดของเรื่องเล่า ว่าจริง ๆ แล้ว เราอยากพูดอะไรจากใจ ไม่ใช่จากความเคยชิน

“ทุกเรื่องเล่าควรเริ่มจาก concept แล้วค่อยหาวิธีการนำเสนอ” พี่แหม่มพูดด้วยเสียงที่สงบนิ่ง แต่ชัดเจนพอจะทำให้ใครหลายคนหยุดนิ่ง และยอมรับว่า วิธีการที่ดีอาจไม่มีความหมายเลย หากเราไม่รู้ว่าเนื้อในของเรื่องคืออะไร
เพราะบางครั้ง วิธีที่เราคุ้น อาจไม่ใช่หนทางที่จริงกับเรื่องนั้นที่สุด บางเรื่องอาจยังไม่ถึงเวลา บางเรื่องอาจต้องการความเงียบมากกว่าคำพูด และบางเรื่องอาจไม่ต้องการให้ใครเข้าใจทั้งหมด แค่ต้องการให้ได้ถูกฟังอย่างจริงใจ
เรื่องเล่าที่ดีที่สุด อาจไม่ใช่เรื่องที่เล่าได้ชัดที่สุด หรือสมบูรณ์ที่สุด แต่อาจเป็นเรื่องที่เรา “รู้แล้วว่าเขียนไปเพื่ออะไร” และกล้ายอมรับว่า มันสมควรถูกเล่า แม้จะยังไม่มีบทสรุปที่เรียบร้อยให้มันเลยก็ตาม เพราะเรื่องเล่าบางเรื่อง ก็มีไว้เพื่ออยู่กับคำถาม และในคำถามนั้นเอง เราก็อาจจะฟังหัวใจของตัวเองได้ชัดขึ้นกว่าเดิม