ในโลกยุคใหม่ที่การแข่งขันสูงลิ่ว การนำเทคโนโลยีใหม่เข้ามาปรับใช้กับธุรกิจ คือหนทางแห่งการอยู่รอด และจะเป็นเรื่องดีมาก หากนักศึกษาจะได้ลงมือทำจริงในขณะที่ยังเรียนอยู่ เพื่อเป็นการปูพื้นฐานและต่อยอดไปสู่การทำงานในอนาคต
แต่ใคร ๆ ก็คิดได้ไม่ใช่หรือ เพราะฉะนั้น Don’t just think อย่าแค่คิด ให้ลงมือทำปฏิบัติด้วย โครงการ D.O.T Project จึงเกิดขึ้น โดยความร่วมมือของมหาวิทยาลัยกรุงเทพ และ บริษัทโอสถสภา จำกัด (มหาชน)
สนทนากับ คุณหน่อย-เสาวรัตน์ โอภาสยานนท์ ผู้บริหารระดับ Head of Marketing ของฝั่ง Mother and Baby and Homecare จากทางบริษัทโอสถสภา จำกัด (มหาชน) มาแนะนำอีกหนึ่งโครงการสร้างสรรค์ให้เราติดตามกัน
ระบบการศึกษาไทยต้องบูรณาการ
ระบบการศึกษาไทยไม่ได้เปลี่ยนไปเยอะจากสมัยที่พี่เคยเรียนเมื่อ 20 กว่าปีก่อน แต่พฤติกรรมของคนในปัจจุบันและความเคลื่อนไหวของสังคมกลับเปลี่ยนไปเยอะมาก ดังนั้น เราต้องการระบบการศึกษาที่สอดคล้องกับยุคสมัย และวิถีชีวิตของคน โดยสิ่งที่ควรเปลี่ยนแปลง คือ ระบบการศึกษาต้องมีบูรณาการ หรือระบบการศึกษาที่สามารถเชื่อมโยงทฤษฎีและปฏิบัติเข้าด้วยกัน เพื่อช่วยให้นักศึกษาพัฒนาตนเองได้อย่างรวดเร็ว และสามารถปรับตัวให้เข้ากับโลกแห่งการทำงานได้ดียิ่งขึ้น
Case Study และการเรียนร่วมกับคนที่หลากหลาย คือคำตอบ
ปัจจุบันนี้นอกเหนือจากการเรียนทฤษฎีทั่วไป หรือระบบเลคเชอร์สไตล์ การที่เราได้เรียนรู้จากคนที่เป็นคนทำงานจริง ๆ ได้ลองเข้าใจกรณีศึกษาใน Case Study ทำให้เด็กเห็นภาพมากขึ้น เวลาเราเรียนหนังสือ เรามักจะเรียนแค่คนในคณะเดียวกัน แต่การเรียนข้ามคณะการได้ทำงานร่วมกับคณะอื่น ทำให้เราได้ปรับตัวก้าวสู่โลกแห่งการทำงานจริงได้รวดเร็วมากขึ้น เพราะการทำงานไม่ใช่การทำคนเดียว แต่เราต้องทำงานเป็นทีมเวิร์คร่วมกับผู้อื่น ต้องรู้จักลองใช้จุดแข็งของเรา เพื่อปรับจุดแข็งของคนอื่นให้ทำงานร่วมกันได้ หากมีวิชาที่สามารถเข้ามาช่วยสอนส่วนนี้ได้ อาจทำให้ผู้เรียน สามารถเข้าใจและปรับตัวให้เข้ากับโลกแห่งการทำงานได้ดียิ่งขึ้น
โครงการ D.O.T คืออะไร ?
โครงการ D.O.T หรือ Dot Project มาจากคำว่า Don’t just think คือ อย่าแค่คิดให้ลงมือทำปฏิบัติด้วย โครงการนี้เป็นโครงการที่ร่วมมือกันระหว่าง 3 คณะของมหาวิทยาลัยกรุงเทพ ได้แก่ คณะบริหารธุรกิจ คณะนิเทศศาสตร์ และคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ นอกเหนือจากเด็กได้เรียนรู้ในวิชาของตนเองแล้ว เขายังได้เรียนรู้ในวิชาของภาควิชาอื่น ได้ลองปฏิบัติจริง ทำงานร่วมกับเพื่อนคณะอื่น จึงทำให้ทราบว่าเราได้ดึงจุดแข็งของสิ่งที่เราเรียนมาในคณะของตนเองร่วมกับจุดแข็งของเพื่อนคณะต่าง ๆ ร่วมกัน ถือเป็นนิมิตหมายอันดีที่ทำให้ผู้เรียนได้โยงระบบทฤษฎีกับปฏิบัติเข้าด้วยกัน และได้ทำงานออกมาจริง
การทดลองงานตั้งแต่ยังเรียนหนังสือ
เป้าหมายจุดประสงค์ของโครงการ คือ อยากให้ผู้เรียนได้เข้าสู่โลกแห่งความเป็นจริงได้อย่างรวดเร็วที่สุด เสมือนเป็นการทดลองงาน ทั้งที่ยังเรียนหนังสืออยู่ เมื่อเด็กได้เจอกับผู้บริหารและคนที่ทำงานในแวดวงต่าง ๆ สุดท้ายแล้วน้องเขาต้องได้เข้าไปทำงานอยู่ในบริษัทนั้น ถือเป็นโอกาสดีที่เขาได้ปฏิบัติงานจริง แล้วได้มีโอกาสสอบถามพูดคุยกับผู้บริหารหรือคนทำงานจริง ๆ และได้แลกเปลี่ยนความคิดกัน ที่สำคัญ คือ ได้ทำงานร่วมกันกับภาควิชาอื่น นอกเหนือจากวิชาของตนเอง เป็นการฝึกในแง่ของ Team Work ฝึกในแง่ของ Intern Ship และฝึกในเเง่ของการปฏิบัติงานจริง
รูปแบบกระบวนการเรียน การสอนที่ไม่เหมือนใคร
เราพยายามดึงคนที่เป็น Speaker (วิทยากร) ทั้งทางบริษัทโอสถสภา หรือ จากทางแวดวงอาชีพ ของภาควิชาต่างๆ ซึ่งเป็นคนที่ทำงานจริง เเละเป็นคนที่รู้จริงในแวดวงของเรื่องเหล่านั้นเข้ามาสอน
วิธีการสอน คือ เป็นวิชาการที่ผสมผสานกันระหว่างภาคทฤษฎีกับภาคปฏิบัติ ในเเต่ละครั้งเรามี Case Study สั้น ๆ ให้น้องทำ แล้วลองมานำเสนอ โดยเราจะให้ Feedback ตรง ๆ กลับไป โดยภายในครั้งเดียวน้อง ๆ จะได้รับความรู้ทั้งในส่วนของทฤษฎีและปฏิบัติรวดเดียวกัน
นอกจากนั้นเรายังมีระบบที่เรียกว่า Mentor (พี่เลี้ยง) คือเรามี Brand Reader ของทางโอสถสภาเข้ามาช่วยให้คำปรึกษา ในเเต่ละกลุ่มนั้นมี Mentor ของแต่ละคนช่วยดูในส่วนของ Final Project โดยเราคอยนำ Final Project มาบรีฟให้กับน้อง ๆ ฟัง และให้ได้ลองปฏิบัติจริง ได้ Pitch แข่งขันกันจริง ๆ และมีทีมชนะด้วย ดังนั้นส่วนนี้เป็นโอกาสที่น้อง ๆ ได้ฟังจาก Speaker แต่ละคน แล้วจึงดึงข้อมูลของเเต่ละอย่างมา Apply เข้ากับ Final Project จริง ๆ อีกทีหนึ่ง
ประสบการณ์การทำงานจริงรอบด้าน
สิ่งที่ทุกคนได้กลับไปอย่างแน่นอน ส่วนแรก คือ เรื่องของวิชาการ ความรู้ในเรื่องของทฤษฎีด้านต่าง ๆ จากผู้ปฏิบัติงานจริง อย่างที่สอง คือ ได้เรียนรู้จากประสบการณ์การทำงานของรุ่นพี่แต่ละคนที่เข้ามาสอน ส่วนที่สำคัญอย่างมาก คือ ประสบการณ์ที่น้อง ๆ ได้จากตัวเขาเองที่เขาได้ทำงานร่วมกันกับเพื่อน ได้ลองทำ Case กับปัญหาธุรกิจและได้ลองใช้จุดแข็ง จุดอ่อนของตนเองบรีฟเข้ามา จึงคิดว่าเขาได้ทั้งทฤษฎีและปฏิบัติ สมกับชื่อ Project ที่เรากล่าวมาข้างต้นว่า ไม่ได้อยากให้คิดอย่างเดียว แต่ให้ลงมือปฏิบัติด้วย
แตกยอดจากของเดิม
เป็นโครงการที่พัฒนากันอย่างต่อเนื่อง เมื่อเทียบระหว่างปีที่แล้ว (โครงการ LTDP#2) กับปีนี้เราพยายามพัฒนาขึ้น คือ ในเรื่องของทฤษฎีด้านการตลาดและด้าน Communication ด้านการสื่อสารเรายังคงมีให้เต็มที่ แต่อีกส่วนหนึ่งที่เราพยายามพูดขึ้นมาในปีนี้ เป็นประเด็นของ Disruptive Channel ว่าปัจจุบันนี้มีสิ่งต่าง ๆ เข้ามาเปลี่ยนแปลงชีวิตของผู้บริโภคอย่างไรบ้าง และดึงเรื่องที่เป็นประเด็นใหม่ คือ ช่องทางสื่อสารที่เปลี่ยนแปลงไป เข้ามาพูดมากขึ้น เพื่อทำให้น้อง ๆ ได้ดึงเรื่องที่เขารู้สึกว่าใกล้ตัว และชีวิตเขาเปลี่ยนไปมาปรับปรุงกับวิธีการทำงานจริง ส่วนนี้จึงเป็นการพัฒนาขึ้นไปจากปีที่แล้ว
โครงการ D.O.T Project นับเป็นอีกหนึ่งรูปแบบการเรียนการสอนที่มีความแปลกใหม่และได้ประสิทธิผล เพราะเปิดโอกาสให้นักศึกษาได้ลงมือปฏิบัติงานจริง ทำให้ผู้เรียนจดจำความรู้ได้แม่นนานกว่าการท่องจำ โดยใช้ความผิดพลาดที่เกิดขึ้นเป็นบทเรียนสำคัญในการแก้ไขปัญหาและปรับปรุงให้ดียิ่งขึ้น ผู้เรียนมีการปฏิบัติสัมพันธ์กับสิ่งต่าง ๆ ทำให้เกิดแนวความคิดสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ เมื่อสำเร็จการศึกษายังสามารถเริ่มงานได้ทันที