หลังจากที่มหาวิทยาลัยกรุงเทพ ได้ผนึกกำลังกับช่อง One31 สร้างสรรค์ โครงการ BU Come One เพื่อเปิดโอกาสให้กับนักศึกษาที่มีความสนใจในด้านอุตสาหกรรมบันเทิง ได้เรียนรู้และทำงานจริงกับช่อง One31
![0-1](https://connect.bu.ac.th/wp-content/uploads/2020/02/0-1.jpg)
![0-2](https://connect.bu.ac.th/wp-content/uploads/2020/02/0-2.jpg)
![0-2](https://connect.bu.ac.th/wp-content/uploads/2020/02/0-2.jpg)
![0-3](https://connect.bu.ac.th/wp-content/uploads/2020/02/0-3.jpg)
![0-3](https://connect.bu.ac.th/wp-content/uploads/2020/02/0-3.jpg)
![0-4](https://connect.bu.ac.th/wp-content/uploads/2020/02/0-4.jpg)
![0-4](https://connect.bu.ac.th/wp-content/uploads/2020/02/0-4.jpg)
เราได้มานั่งคุยกับ 6 ตัวแทน นักศึกษาคณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ ผู้ผ่านเข้ารอบสุดท้าย ได้เข้าไปทำงานจริงกับช่อง One31 สำหรับใครที่สนใจโครงการนี้ ต้องจับตาดูบทสัมภาษณ์ของเราให้ดี!
![0-5](https://connect.bu.ac.th/wp-content/uploads/2020/02/0-5.jpg)
![0-5](https://connect.bu.ac.th/wp-content/uploads/2020/02/0-5.jpg)
![0-6](https://connect.bu.ac.th/wp-content/uploads/2020/02/0-6.jpg)
![0-6](https://connect.bu.ac.th/wp-content/uploads/2020/02/0-6.jpg)
![0-7](https://connect.bu.ac.th/wp-content/uploads/2020/02/0-7.jpg)
![0-7](https://connect.bu.ac.th/wp-content/uploads/2020/02/0-7.jpg)
จุดเริ่มต้นการเข้าโครงการ BU Come One
เริ่มกันที่คนแรก เรามาเจาะลึกโครงการ BU Come One กับ พี่ปิ่น–พิมพ์มธุรดา พุฒิกรวงศ์ สาขาวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์ นักศึกษาคณะนิเทศศาสตร์ กับก้าวแรกการทำงานจริงในฐานะนักตัดต่อมืออาชีพ จุดเริ่มต้น อุปสรรค ความประทับใจและโอกาสมากมายที่ได้จากโครงการนี้ รวมทั้งประเด็นสำคัญที่หลายคนอาจจะสงสัยที่ว่า การทำงานจริงกับเรียน อะไรโหดกว่ากัน
![01](https://connect.bu.ac.th/wp-content/uploads/2020/02/01-6.jpg)
![01](https://connect.bu.ac.th/wp-content/uploads/2020/02/01-6.jpg)
พี่ปิ่น-พิมพ์มธุรดา พุฒิกรวงศ์
ด้วยความที่เป็นนักศึกษาชั้นปีที่ 4 และอีกไม่นานก็จะจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยแล้ว พี่ปิ่นจึงมุ่งมั่นในการหาที่ฝึกงานเพื่ออนาคตของตัวเองจนกระทั่งได้มาเจอกับโครงการ BU Come One โครงการที่ปูทางสู่ก้าวแรกในการทำจริงของพี่ปิ่น
พี่ปิ่นบอกว่าเคยไปถามอาจารย์มาก่อนว่าสาขาที่เรียนสามารถฝึกงานในเทอมซัมเมอร์ได้หรือไม่ แต่อาจารย์เขาก็ตอบกลับมาว่าไม่ได้ ไม่สามารถฝึกงานก่อนได้ ตอนนั้นจึงพยายามเริ่มหาวิธีต่าง ๆ เพราะอยากฝึกงานเร็ว ๆ จนกระทั่งเห็นโครงการ BU Come One แชร์ต่อกันมาในเพจเฟสบุ๊คของคณะนิเทศศาสตร์ เป็นโครงการพิเศษเลยบอกตัวเองในใจว่าจะลองสมัคร
![01-01](https://connect.bu.ac.th/wp-content/uploads/2020/02/01-01.jpg)
![01-01](https://connect.bu.ac.th/wp-content/uploads/2020/02/01-01.jpg)
เตรียมตัวอย่างไรกับโครงการใหญ่ของช่องทีวี
ปกติเป็นคนเก็บสะสมผลงานต่าง ๆ ของตัวเองลงพอร์ตอยู่แล้ว ตอนที่ตัดสินใจสมัครโครงการ จึงไม่ต้องเตรียมตัวอะไรมาก แค่รวบรวมแล้วก็ส่ง รอบแรกเป็นการส่งพอร์ตว่าเรามีความถนัดทางไหน แล้วก็จะมีจดหมายแนะนำตัว ประวัติส่วนตัวของเราและใบสมัคร ตอนนั้นมีเข้ารอบแรกประมาณ 50 คน
![01-02](https://connect.bu.ac.th/wp-content/uploads/2020/02/01-02.jpg)
![01-02](https://connect.bu.ac.th/wp-content/uploads/2020/02/01-02.jpg)
พอผ่านเข้ารอบ ทางช่องวัน31 ก็ให้เข้าไปลองศึกษาวิธีการทำงานของฝ่ายต่างๆ ทุกฝ่ายตลอดซัมเมอร์ พอเสร็จจบจากการศึกษางาน จะมีโปรเจคให้เราทำ โดยที่โปรเจคนี้จะเป็นตัวคัดเลือกละว่าใครที่จะได้เข้ามาฝึกงานกับทางช่องจริง ๆ ตัวโปรเจกต์ที่เขาให้ทำแต่ละฝ่ายก็จะแตกต่างกันออกไปมีทั้งแบบเดี่ยวและแบบกลุ่ม ของฝ่ายละครเขาให้ทำเดี่ยว จะให้บทละครมาซีนนึง แล้วก็ให้เราไปถ่ายมา ถ่ายยังไงก็ได้ แต่ละคนก็ถ่ายออกมาไม่เหมือนกัน ถึงเวลานำเสนอเขาก็จะแนะนำว่าตรงนี้ควรเป็นยังไง น่าสนใจยังไง ควรแก้ไขตรงไหน
หลังจากผ่านเข้ารอบโปรเจกต์เขาก็ให้โอกาสเราได้ไปทำอะไรหลายอย่าง จะลองไปออกกองก็ได้ จะลองไปทำอะไรก็ได้ ถ้าเรากล้าขอ เขาก็กล้าให้ สำหรับพี่เลือกอยู่ฝ่ายตัดต่อ พี่ได้ทำแทบทุกอย่างเลย ทั้งสปอต ละครยาว ตัวอย่างละคร ตัวอย่างตอนต่อไปของซิทคอมด้วย
![02](https://connect.bu.ac.th/wp-content/uploads/2020/02/02-5.jpg)
![02](https://connect.bu.ac.th/wp-content/uploads/2020/02/02-5.jpg)
ประสบการณ์สุดประทับใจที่ตามมาด้วยความท้าทาย และความกดดัน
ถ้าถามถึงความประทับใจสำหรับพี่ คงจะเป็นงานที่ได้รับมอบหมายให้ทำแล้วได้ออนแอร์จริง ที่ดีใจคือเขาไม่ได้ให้เราแค่ลองทำ แต่ว่าให้เราได้ลงมือทำ มีผลงานจริง ก็จะมีซิทคอมเป็นต่อ สุภาพบุรุษสุดซอย แล้วก็สปอตละคร ที่พี่ได้รับผิดชอบหนึ่งเรื่องหนึ่งเดือน
งานที่ท้าทายมีอยู่ครั้งหนึ่งเขาให้พี่ตัดต่อละคร โดยที่ให้เอาละครตั้งแต่ในอดีตจนถึงปัจจุบันมาตัดรวมกันให้มันดูมีรีแอคชั่น น่าติดตาม จุดประสงค์คือเขาต้องการขายซีนหนึ่งของละคร แต่ว่าที่เขาให้พี่ตัดต่อคือให้เอาตัวละครอื่นจากเรื่องอื่นให้มามีอารมณ์ร่วมกับซีนนี้ ทั้งตกใจ ว้าว เอามายำรวมกันให้น่าสนใจ งานนี้ก็เป็นงานที่ท้าทายสำหรับพี่มาก เพราะส่วนตัวพี่ไม่เคยทำอะไรแบบนี้มาก่อน แล้วก็งานนี้ก็เป็นงานที่โดนแก้หลายรอบที่สุด ตอนนั้นก็คิดในใจว่า มันยากจัง เขาก็บรีฟมา จนผ่านมาได้
![03](https://connect.bu.ac.th/wp-content/uploads/2020/02/03-6.jpg)
![03](https://connect.bu.ac.th/wp-content/uploads/2020/02/03-6.jpg)
อีกงานที่ยากมากก็คือละครเย็น กลุ่มเป้าหมายของเขาคือคนต่างจังหวัด ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายหลัก ที่มันยากก็เพราะว่าเราไม่ได้ดู แต่เราต้องมาจับประเด็นกลุ่มเป้าหมายให้ได้ว่าเขาสนใจเรื่องอะไร ต้องคิดแทนคนดูให้ได้ ซึ่งอันนี้ก็เป็นงานที่ท้าทายมากอีกงาน
ในทุกงานมันมีความกดดันอยู่แล้ว คือพี่อยู่ฝ่ายตัดต่อใช่ไหม ส่วนใหญ่พี่ก็จะอยู่กับละครเย็น แล้วละครเย็นจะเป็นแบบถ่ายสัปดาห์ที่แล้วออนแอร์สัปดาห์นี้ บางทีฟุตที่พี่ต้องตัดมาถึงประมาณเที่ยง ต้องส่งออนแอร์ไม่เกิน 4 โมงเย็น พี่ก็ต้องรีบทำให้เสร็จ ส่งให้ทัน เป็นอะไรที่กดดันมาก
![04](https://connect.bu.ac.th/wp-content/uploads/2020/02/04-6.jpg)
![04](https://connect.bu.ac.th/wp-content/uploads/2020/02/04-6.jpg)
ทักษะที่ได้จากการเรียน ต่อยอดสู่การทำงานจริง
จริง ๆ พี่เป็นคนชอบทำหนัง แต่ว่าเราเรียนบรอดแคสต์ติ้งก็จะได้คลุกคลีไปทางทีวีมากกว่า เลยเลือกที่จะลองอยู่ฝ่ายละคร แล้วก็เราก็เรียนพวกตัดต่อมาอยู่แล้วก็อยากใช้วิชาที่ติดตัวมา ซึ่งถามว่าได้ใช้ทั้งหมดไหม ก็ไม่ทั้งหมด มันก็ที่เราต้องเรียนรู้เพิ่มเองด้วย ส่วนเรื่องการเขียนบท ตอนสมัครเข้าโครงการก็ได้ส่งงานเขียนบทไปด้วย ให้บอกตามตรงการเขียนบทที่มหาวิทยาลัยสอน มันก็ไม่ได้ตรงกับการทำงานจริงทั้งหมด แต่ว่ามันก็เป็นพื้นฐานสำคัญในการทำงาน
สิ่งที่ดีจากโครงการ BU Come One
โอกาสที่พี่ได้รับอย่างแรกเลยคือได้งานทำทันทีหลังจากจบโครงการ เหมือนเราไปทำแล้วเขาเห็นศักยภาพเราว่าสามารถทำงานต่อได้เลยหลังเรียนจบ ตอนที่ฝึกอยู่พี่เขาก็เคยมาถามว่าจะเข้ามาทำงานเลยไหม เขาจะได้รับเข้าทำงานเลย ใจพี่ก็สองใจ งานหายาก ก็เลยอยากเข้าทำเลย แต่อีกใจคือตัวพี่ก็ชอบทำภาพยนตร์มากกว่า
อย่างที่สองที่ได้ต่อเนื่องกันก็คือคอนเนคชั่น คือเราเข้ามาอยู่ตรงนี้แล้ว สังคมมันกว้างมาก เราก็ได้คอนเนคชั่นมาด้วย พี่ที่เขาอยู่ในฝ่ายตัดต่อด้วยกันเขารู้จักคนข้างนอกที่ไม่ได้ทำงานแค่ในช่อง เขาก็บอกพี่ว่าที่อยากทำทางด้านภาพยนตร์มากกว่า พี่เขาฝากให้ได้อะไรประมาณนี้ คือมันได้คอนเนคชั่นกว้างกว่าที่เราคิดไว้มาก
![05](https://connect.bu.ac.th/wp-content/uploads/2020/02/05-6.jpg)
![05](https://connect.bu.ac.th/wp-content/uploads/2020/02/05-6.jpg)
สำหรับคนที่สนใจจะเข้าโครงการนี้ในรุ่นต่อไป พี่อยากให้คนที่อยากทำจริงมากกว่าเข้ามา เพราะว่าหลายคนที่เข้ามาโดยการเกาะเพื่อน หรือเข้ามาเพราะหวังเกรด มันแทบไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย ก็ไม่ได้ตามที่หวังหรอก ถ้าคุณเข้ามาโดยที่ไม่ได้อยากทำจริง ไม่ได้รัก เข้ามาเพื่อที่จะได้แค่คอนเนคชั่น คือคอนเนคชั่นมันสำคัญ มันได้แน่นอนอย่างที่พี่บอก แต่ถ้าคุณไม่มีความสามารถ ไม่มีความตั้งใจที่จะทำ มันก็ไปต่อได้ไม่ดีอยู่แล้ว อยากให้ทุกคนที่เข้ามามีความตั้งใจจริง
ใบเบิกทางก้าวเข้าสู่สายงานโทรทัศน์
![06](https://connect.bu.ac.th/wp-content/uploads/2020/02/06-6.jpg)
![06](https://connect.bu.ac.th/wp-content/uploads/2020/02/06-6.jpg)
พี่ตาล-หทัยชนก พวงแก้ว
พี่ตาล-หทัยชนก พวงแก้ว นักศึกษาสาขาวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์ คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ อีกหนึ่งตัวแทนจากโครงการ BU Come One ฝ่ายละครโทรทัศน์ ที่ได้ทำทั้งการออกกองและการตัดต่อ สานต่อความฝันจากความชอบส่วนตัว สู่สายงานโทรทัศน์ผ่านโครงการ BU Come One
หนทางสู่งานที่รัก
โดยส่วนตัวพี่เป็นคนชอบดูละครชอบดูซีรีส์อยู่แล้ว และพี่ก็สนใจงานเกี่ยวกับสายงานโทรทัศน์ พอได้รู้จักโครงการนี้จากรุ่นพี่ มองว่าโครงการนี้มันน่าสนใจดี และยังเป็นใบเบิกทางก้าวเข้าสู่สายงานที่ชอบ จึงตัดสินใจลองยื่นสมัคร
![07](https://connect.bu.ac.th/wp-content/uploads/2020/02/07-6.jpg)
![07](https://connect.bu.ac.th/wp-content/uploads/2020/02/07-6.jpg)
อวดความเป็นตัวเองให้เก๋ โชว์ศักยภาพให้โลกรู้
คัดเลือกรอบแรก พี่ยื่นสมัครด้วยคลิปแนะนำตัวเอง แต่จุดเด่นในคลิปของพี่ไม่ได้อยู่ที่การพูดหรือเนื้อหา จุดเด่นของคลิปพี่อยู่ที่การตัดต่อและเทคนิคการเล่นแสงเงา รอบโปรเจคพี่เลือกทำละคร คือเขาจะมีบทมาให้ 1 ฉาก และให้เราไปคิดเป็นภาพและถ่ายทำมา ให้เราตีความบทเอาเอง เพื่อที่เขาจะดูว่าความคิดของเราที่ตีความบทออกมาจะออกมาเป็นแบบไหน รอบนี้พี่ก็ได้ไอเดียคือการเล่น mood & tone ให้น่าสนใจ ให้มันดูมีอะไรมากกว่าการถ่ายทำตามปกติ
![08](https://connect.bu.ac.th/wp-content/uploads/2020/02/08-6.jpg)
![08](https://connect.bu.ac.th/wp-content/uploads/2020/02/08-6.jpg)
ประตูบานแรกที่เปิดไปสู่โอกาสในอนาคต
พี่คาดหวังว่ามันจะเป็นประตูบานแรกที่นำพาพี่ไปสู่โอกาสในอนาคต เพราะถ้าพี่กำลังเรียนอยู่ในมหาวิทยาลัยตามปกติพี่ก็ไม่รู้ว่าอนาคตวันข้างหน้าพี่จะต้องไปอยู่ตรงไหน สำหรับพี่โครงการนี้มันตอบโจทย์กับที่พี่หวังไว้ เพราะว่าเราได้มาเรียนรู้จากการทำงานจริง ๆ ที่ไม่ได้เหมือนกับการเรียนในห้องเรียน พอได้มาทำงานจริงทำให้เราได้รู้ว่ามีอะไรมากกว่าอยู่ในห้องเรียน
![09](https://connect.bu.ac.th/wp-content/uploads/2020/02/09-4.jpg)
![09](https://connect.bu.ac.th/wp-content/uploads/2020/02/09-4.jpg)
เลือกสิ่งที่ใช่และใช้ชีวิตอย่างมีความสุข
การออกกองถ่ายทำงานจริง ทุกอย่างต้องรักษาเวลา งบประมาณ ไหนจะนักแสดง ทีมงาน แสง ล้วนแล้วแต่เป็นเงินไปหมด ในการทำงานจริงต้องเป๊ะทุกอย่าง ฉากกำหนดมาแบบไหนก็ต้องเป็นแบบนั้น ไม่เหมือนกับงานที่เราถ่ายทำกันเองกับกลุ่มเพื่อนในมหาวิทยาลัยที่สามารถอะลุ่มอล่วยได้
การทำงานออกกอง พี่รู้สึกว่าตัวพี่ยังไม่พร้อมสำหรับการทำงานตรงนั้น เพราะเราไม่เคยมีพื้นฐานตรงนั้นมาก่อน พี่คิดว่าถ้าเราจะเข้ามาฝึกอย่างจริงจังเพื่อให้ได้ทำงานจริง โอกาสมันน่าจะยากเพราะเราเริ่มต้นจากศูนย์เลย และมันก็ไม่ได้มีเวลามากมายให้เราฝึกขนาดนั้น ทำงานกองถ่ายไม่มีใครมาจ้ำจี้จ้ำไชเรา เราต้องเรียนรู้ด้วยตัวเองเป็นหลัก พี่เลยรู้สึกว่ามันไม่ใช่และยังไม่พร้อม ตอนนี้พี่ย้ายมาอยู่ฝ่ายตัดต่อ พอย้ายมาพี่ก็รู้สึกว่าพี่อยู่กับมันได้และมีความสุข
![10](https://connect.bu.ac.th/wp-content/uploads/2020/02/10-5.jpg)
![10](https://connect.bu.ac.th/wp-content/uploads/2020/02/10-5.jpg)
![11](https://connect.bu.ac.th/wp-content/uploads/2020/02/11-4.jpg)
![11](https://connect.bu.ac.th/wp-content/uploads/2020/02/11-4.jpg)
เคล็ด(ไม่)ลับ การเตรียมตัวก่อนที่จะสมัครเข้าโครงการBU Come One
พี่ตาลแอบเปิดเผยเคล็ด (ไม่) ลับ ฝากถึงเพื่อน ๆ พี่ ๆ น้อง ๆ ที่สนใจอยากจะเข้าร่วมโครงการ BU Come One ในรุ่นต่อไปเอาไว้ว่า ต้องมีความพร้อมที่จะทำชิ้นงานที่จะส่งเข้ามา งานต้องพร้อมมากและพยายามหาจุดเด่นของงานสร้างความโดดเด่นเป็นภาพจำและเป็นเอกลักษณ์เป็นตัวของตัวเองให้มากที่สุด
ส่วนใครที่อยากเข้าร่วมโครงการนี้ ในเมื่อโอกาสมันอยู่ตรงหน้าแล้วก็อยากให้คว้ามันเอาไว้ ได้ไม่ได้เดี๋ยวค่อยว่ากันอีกที อย่างน้อยเราก็ได้ลองทำแล้ว จะได้ไม่ต้องมาเสียดายโอกาสทีหลัง เหมือนประโยคที่ว่า รู้งี้…ทำดีกว่า
เริ่มต้นจากเด็กน้อย สู่นักเขียนข่าวออนไลน์ช่อง One31
![12](https://connect.bu.ac.th/wp-content/uploads/2020/02/12-4.jpg)
![12](https://connect.bu.ac.th/wp-content/uploads/2020/02/12-4.jpg)
น้องอั้ม-ศรรวริศ แท้ไธสงค์
น้องอั้ม-ศรรวริศ แท้ไธสงค์ นักศึกษาชั้นปีที่ 1 ทุนโครงการ BUCA Talent คณะนิเทศศาสตร์ กับการเข้าร่วมโครงการ BU Come One ก้าวแรกสู่รั้วมหาวิทยาลัยพร้อมกับการทำงานในฐานะนักข่าวออนไลน์ของช่อง One31
นักเรียนที่ไม่หยุดเรียนรู้
ถ้าถามว่าเริ่มต้นจากอะไรผมว่าเริ่มต้นจากการที่เราเป็นเด็กน้อยธรรมดานี่แหละ อยากจะหาความรู้ อยากดูว่ามีอะไรที่ทำได้บ้าง ผมรู้จักโครงการตั้งแต่ตอนที่ใกล้จะจบม.6 แล้วครับ ผมอยู่ในกรุ๊ปไลน์ของเด็กทุน BUCA เห็นมีคนส่งรายละเอียดมา ซึ่งตอนที่เห็นมันเป็นวันเกือบสุดท้ายพอดีที่เขาให้ส่งใบสมัคร ผมก็เลยแบบ ลองดูดีไหม สุดท้ายเลยตัดสินใจส่งใบสมัคร กรอกฟอร์ม ส่งพอร์ต บอกเหตุผลทำไมถึงอยากเข้า แล้วกดส่งเลย และไม่คิดมาก่อนว่าตัวเองจะผ่านเข้ารอบ เพราะในการสมัครมีรุ่นพี่ปี 3 และปี 4 เข้าร่วมเป็นจำนวนมาก ตัวเองพึ่งจะเข้ามหาวิทยาลัย ยังไม่ทันได้เริ่มเรียนอะไรด้วยซ้ำ
![13](https://connect.bu.ac.th/wp-content/uploads/2020/02/13-2.jpg)
![13](https://connect.bu.ac.th/wp-content/uploads/2020/02/13-2.jpg)
หลังจากผ่านเข้ารอบ 50 คนสุดท้าย รู้สึกดีใจและสนุกมากที่ได้เข้าร่วมโครงการนี้ ได้มีโอกาสเรียนรู้สิ่งใหม่และยังได้เรียนรู้งานจากคนที่ทำงานจริง ระดับหัวหน้า ผู้บริหารโดยตรงด้วยตัวเอง รู้สึกเป็นเกียรติและโชคดีมาก เราก็ตื่นเต้น เราเป็นเด็กปี 1 ตอนนั้นรุ่นพี่เขาอาจจะเฉย ๆ กัน แต่ส่วนผมเพิ่งเริ่มแต่ได้เข้าไปถึงจุดนั้น ได้เข้าไปเรียนรู้ ตอนนั้นก็เรียนรู้อยู่ประมาณสองเดือน ซึ่งเป็นเวลาสองเดือนที่มีค่ามาก ๆ
![14](https://connect.bu.ac.th/wp-content/uploads/2020/02/14-2.jpg)
![14](https://connect.bu.ac.th/wp-content/uploads/2020/02/14-2.jpg)
หลังจากจบการเรียนรู้งานได้ไม่นาน การคัดเลือกรอบสุดท้ายก็มาถึง ก่อนวันไฟนอลผมก็จะมาท่องสคริปต์ก่อนไปขึ้นพรีเซนต์ครับ ผมท่องจนถึงตีสองประมาณ 2-3 อาทิตย์ได้พอถึงวันจริงก็ผ่านไปได้ด้วยดี และผมก็รู้สึกพอใจกับผลงานตัวเอง เพราะผมตั้งใจมาก ตั้งใจที่จะลบคำดูถูกของคนอื่น ส่วนรอบโปรเจคนี้จะเป็นรอบที่เลือกมาว่าอยากเข้าฝ่ายไหน มันจะมีฝ่ายข่าว ละคร เขียนบทแล้วก็รายการ ผมชอบด้านออนไลน์ก็เลยไปเลือกข่าวออนไลน์ เลือกปุ๊บก็พอส่งไปรอบไฟนอล เขาก็สัมภาษณ์ เราก็เอาโปรเจคไปเสนอ แล้วเขาก็เลือก เราก็ได้ผ่านเข้ารอบ 20 คนสุดท้าย
![15](https://connect.bu.ac.th/wp-content/uploads/2020/02/15-3.jpg)
![15](https://connect.bu.ac.th/wp-content/uploads/2020/02/15-3.jpg)
ได้เกรด ได้งาน ได้เงิน ได้เริ่มก่อนคนอื่น 4 ปี
ตอนนี้มีเงินเดือนแล้วครับ ทำงานกับทางช่องและก็ทำเป็นฟรีแลนซ์ด้วย วันไหนว่างผมก็กลับมาเรียน กราฟิกที่เห็นในข่าวช่องวันก็มีผมเป็นคนทำบ้าง คอนเทนต์ผมก็ทำด้วย ผู้สื่อข่าวภาคสนามในข่าวออนไลน์ผมก็ทำประมาณ 6-7 คลิป ตอนแรกผมได้ทำตำแหน่งกราฟิกอย่างเดียว แต่อยู่ไปสักพักแล้วก็รู้สึกว่าอยากทำคอนเทนต์บ้าง เพราะผมก็มีความถนัดทางด้านนี้ เลยไปขอให้พี่เขาช่วยสอนเขียนข่าวเพิ่มเติมให้ ฝึกเขียนข่าวอยู่ประมาณ 1 สัปดาห์ ก็ลองเอาไปเสนอดู ตอนนี้เลยได้ย้ายมาเป็นผู้สื่อข่าวเต็มตัวและทำกราฟฟิกควบคู่ไปด้วย
![16](https://connect.bu.ac.th/wp-content/uploads/2020/02/16-3.jpg)
![16](https://connect.bu.ac.th/wp-content/uploads/2020/02/16-3.jpg)
![17](https://connect.bu.ac.th/wp-content/uploads/2020/02/17-3.jpg)
![17](https://connect.bu.ac.th/wp-content/uploads/2020/02/17-3.jpg)
ที่สุดของความภาคภูมิใจ
จากเด็กฝึกงาน สู่การเดินทางเยือนสิงคโปร์ ประสบการณ์การทำงานสุดประทับใจที่จะไม่มีวันลืม คือการได้เข้าร่วมอบรมกับเพจ Facebook Thailand และได้โอกาสในการเดินทางไปประเทศสิงคโปร์ นำผลงานคลิปวิดิโอของตัวเองไปเปิดให้ทั่วโลกได้เห็น ตอนนั้นผมทำโปรเจคหนึ่ง ชื่อคลิปย้อนศรประจำถิ่น ผมก็ไม่คิดหรอกว่าคลิปของตัวเองจะได้ไปเปิด พอไปถึงสิงคโปร์ คลิปวีดีโอของผมได้เป็นวีดีโออันดับ 1 ผมพึ่งอายุ 19 แต่ผลงานของเรามาได้ขนาดนี้ มันเป็นความภาคภูมิใจครั้งหนึ่งชีวิตของผม ต้องมีบ้างที่โดนคำดูถูกอะไร แต่ผมไม่แคร์ ผมจะสู้ ไม่กลัว ผมจะทำให้เขาเห็นว่าผมทำได้ แล้วตอนนี้ผมก็ทำได้แล้ว ผมมีวิดีโอ 2 ล้าน ได้ไปต่างประเทศ งานผมได้ออนแอร์ในทีวี ผมทำได้
อยากพิสูจน์ให้พ่อแม่เห็นว่าผมทำได้
อีกหนึ่งแรงบันดาลใจสำคัญที่ทำให้มาถึงจุดนี้ คือการอยากพิสูจน์ให้คุณพ่อและคุณแม่เห็นในความสามารถและใจรักในด้านนี้จริง ๆ พ่อแม่ผมไม่อยากให้ผมเรียนด้านนี้เลยครับ ท่านอยากให้ผมไปดูแลธุรกิจที่บ้าน แต่ผมดื้อ ผมอยากเรียนด้านนี้ ผมได้ทุนเข้าโครงการ BUCA Talent มาแล้วก็อาจจะยังไม่ได้รับการยอมรับจากที่บ้าน จนกระทั่งได้มาเข้าร่วมโครงการ BU Come One ได้มีผลงานออกทีวี มีงาน มีเงินเดือนเป็นตัวเอง มีชื่อเสียง ที่บ้านถึงได้ยอมรับในตัวผม
![23](https://connect.bu.ac.th/wp-content/uploads/2020/02/23-1.jpg)
![23](https://connect.bu.ac.th/wp-content/uploads/2020/02/23-1.jpg)
ในอนาคตเรียนจบ 4 ปี ผมก็อยากกลับไปทำธุรกิจเล็ก ๆ ที่บ้าน เพราะทำงานอยู่ที่นี่ผมเจอกับรถติด คนในบีทีเอส เจออากาศ ไม่เหมือนกับที่บ้าน แต่ถ้ามีโอกาสได้เติบโตในหน้าที่การงานของช่อง One ถ้าเขาให้โอกาสผมเรื่อย ๆ ผมก็อาจจะอยู่ต่อ
เขียนบทแนะนำตัวเอง แทนการเขียนเรียงความที่จริงจัง
![24](https://connect.bu.ac.th/wp-content/uploads/2020/02/24-1.jpg)
![24](https://connect.bu.ac.th/wp-content/uploads/2020/02/24-1.jpg)
เนปาล-เนปาล จิตรานนท์
เนปาล-เนปาล จิตรานนท์ เด็ก Gen Z ที่ชอบดูทีวี นักศึกษาชั้นปีที่ 1 สาขาวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์ คณะนิเทศศาสตร์ ทุน BUCA Talent เรียกได้ว่าเธอคนนี้เป็นลูกไม้หล่นใต้ต้นก็ว่าได้ เธอซึมซับการเป็นนักเขียนของคุณแม่ “เนปาลี” เป็นนามปากกาของแม่ ที่ตั้งมาจากชื่อจริงของเธอ
รวบรวมผลงานเพื่อทำตามใจฝัน
เราได้รู้จักโครงการ BU Come One จากอาจารย์ที่เข้ามาคุยว่ามีโครงการนี้เกิดขึ้น ใครสนใจก็สมัครได้ เราตัดสินใจที่จะสมัคร โดยเลือกที่จะยื่นสมัครด้วยการเขียน รูปแบบที่เขียนก็เขียนเป็นบทเลย ที่เลือกเขียนเป็นบท เพราะว่ากลัวว่าถ้าเขียนเป็นเรียงความมันจะน่าเบื่อเกินไป และเพราะกลัวว่าการเขียนเรียงความยาวอาจจะลดความสนใจให้มันน้อยลง
เราเลือกที่จะเขียนเป็นบทให้มันเป็นแบบบรรทัดสั้น ๆ แต่มีใจความสำคัญเกี่ยวกับตัวเราใส่เข้าไปในนั้น ใจความทั้งหมดก็ว่าเราเป็นใครมาจากไหน เราชอบทำอะไร ที่ผ่านมาเราทำอะไรมาบ้าง เอาประสบการณ์ที่เราทำมาทั้งหมดสอดแทรกเข้าไปให้เกี่ยวข้องกับบท เพื่อที่เราจะได้ผ่านเข้ารอบเข้ามาฝึกในโครงการนี้
![25](https://connect.bu.ac.th/wp-content/uploads/2020/02/25-1.jpg)
![25](https://connect.bu.ac.th/wp-content/uploads/2020/02/25-1.jpg)
ส่วนตัวคือเราชอบที่เวลาเราดูหนังแล้วอินไปกับมัน จึงอยากจะลองเขียนบทดู เวลาดูหนังบางเรื่องอย่างเช่น Avengers: Endgame ดูแล้วจะคิดต่อว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับสิ่งตรงหน้าเรา กระบวนการทำ ทำไมมันถึงส่งอิทธิพลกับเราขนาดนี้ หรือบทเรื่องอื่น ๆ ที่แบบทำให้เราร้องไห้ เราอยากรู้ว่ามันคือส่วนไหนที่ส่งผลกับเรื่องขนาดนี้ มันก็คือเป็นมาตั้งแต่บท มันก็เลยทำให้เราอยากไปเป็นคนที่ได้เขียนอะไรเพื่อคนอื่น อยากให้คนอื่นรู้สึกเหมือนที่เรารู้สึก
![26](https://connect.bu.ac.th/wp-content/uploads/2020/02/26-1.jpg)
![26](https://connect.bu.ac.th/wp-content/uploads/2020/02/26-1.jpg)
เปิดรับและซึมซับความเก่งจากผู้คนรอบตัว
ความคาดหวังตอนนั้นแค่คิดว่าอยากทำงานจริง อยากได้อยู่ในที่ที่มีแต่คนเก่ง เรารู้สึกว่าถ้าแค่เราได้อยู่ตรงนั้นและเราเปิดรับทุกอย่างแค่นี้เราก็ได้อะไรเยอะมากแล้ว ได้ซึมซับจากคนเก่งรอบตัวเรา ตอนแรกก็ไม่ได้คิดว่าเราจะได้เข้ามาถึงจุดที่ฝึกงานจริงเอาแค่เราสามารถผ่านเข้าโครงการในรอบแรกให้ได้ก่อนเพราะเข้าไปอย่างน้อยเราก็ได้เรียนรู้ในทุกด้าน ทั้งการผลิตรายการ ละคร การเขียนบทรายการ ละคร การเป็นผู้ประกาศ หรือแม้กระทั่งรายการข่าว และพยายามที่จะเอาตัวเองเข้ามาถึงจุดนี้ให้ได้ก่อน
![26-1](https://connect.bu.ac.th/wp-content/uploads/2020/02/26-1-1.jpg)
![26-1](https://connect.bu.ac.th/wp-content/uploads/2020/02/26-1-1.jpg)
![26-2](https://connect.bu.ac.th/wp-content/uploads/2020/02/26-2.jpg)
![26-2](https://connect.bu.ac.th/wp-content/uploads/2020/02/26-2.jpg)
พอได้ผ่านการคัดเลือกมาจนถึงรอบฝึกงานจริง มันก็เป็นไปตามที่เราหวังไว้ เกินความคาดหวังด้วย เพราะตอนที่เราผ่านเข้ามารอบแรกที่ได้เรียนพวกข่าวหรือได้ไปดูกองถ่ายละครต่าง ๆ แต่พอมาถึงวันที่ได้เข้ามาฝึกจริง แล้วมันมีอะไรบางอย่างที่เพิ่มเข้ามาเช่น การจัดงานประกาศผลรางวัลนาฏราช ได้เข้าไปเป็นสต๊าฟในงานนั้น เข้าโครงการนี้มา ไม่ได้รู้แค่จุดที่เป็นสายงานโทรทัศน์อย่างเดียว สามารถรู้ไปได้ไกลถึงขนาดว่าในงานประกาศผลรางวัลนาฏราชกระบวนการทำงานมันเป็นอย่างไร เป็นงานที่ยิ่งใหญ่ไม่ใช่ว่าใครจะได้เข้าไปอยู่ในงานตรงนั้นได้ง่าย ๆ และยิ่งพวกเราซึ่งกำลังเรียนอยู่ ไม่ใช่ว่าทุกคนจะได้ไปอยู่จุดนั้นเร็วขนาดนี้
![27](https://connect.bu.ac.th/wp-content/uploads/2020/02/27-1.jpg)
![27](https://connect.bu.ac.th/wp-content/uploads/2020/02/27-1.jpg)
เริ่มงานก่อนได้เปรียบ !
เป็นจุดที่เราดีใจที่สุด รู้สึกประสบความสำเร็จไปอีกขั้น คือสำหรับเรา เราคิดเป็นแบบระยะยาวคือตอนนี้เราปี 1 แล้วเราได้ฝึกทำงานกับที่นี่ไปเรื่อย ๆ อย่างน้อย ๆ ก่อนจะจบปี 4 มันก็ควรมีผลงานสักเรื่องแล้ว การที่เราจบปี 4 แล้วมีผลงานเขียนบทละครของช่องวัน31 แม้จะเรื่องเดียว ต่อให้เราจะไปยื่นสมัครทำงานที่อื่น หรือว่าจะทำกับที่นี่ต่อ อย่างน้อยเราก็ไม่ได้เริ่มเท่ากับคนอื่นที่เพิ่งจะจบและต้องไปหางานทำ
![28](https://connect.bu.ac.th/wp-content/uploads/2020/02/28-1.jpg)
![28](https://connect.bu.ac.th/wp-content/uploads/2020/02/28-1.jpg)
![29](https://connect.bu.ac.th/wp-content/uploads/2020/02/29-1.jpg)
![29](https://connect.bu.ac.th/wp-content/uploads/2020/02/29-1.jpg)
คิดการใหญ่ ใจต้องถึง สู้ไม่ถอย
ตอนนั้นได้ไปเขียนบทเรื่องหนึ่งซึ่งเป็นหนังสือเกี่ยวกับเกมโชว์ที่เราต้องเอามาปรับเปลี่ยนให้เป็นรูปแบบละคร ให้เขียนเรื่องสั้นมาส่ง ซึ่งตอนแรกได้ไปทำกันสองคนกับเพื่อนแล้วก็งงกันมากว่าจะทำออกมาเป็นละครอย่างไรดี เพราะว่าเราคิดรูปแบบไม่ออกเลย ค่อนข้างปวดหัว และเพื่อนก็ถอนตัวกันไปทีละคน แยกกันไปทำโปรเจคใหม่และก็เหลือเราอยู่คนเดียว
เราเลือกที่จะสู้ไปกับมัน แต่กลายเป็นว่ามันไม่ใช่รูปแบบละครแบบที่เราเข้าใจ เราคิดไม่ออกว่าเราจะเอามันไปทำอะไรได้บ้าง เราจึงไปคุยกับพี่เขาตรง ๆ พี่เขาก็บอกว่าที่จริงแล้วถ้าคิดไม่ออก ไม่อยากให้ทำ เพราะมันจะไม่สนุก
เราก็ลังเลว่าเอ๊ะหรือเราจะไม่ทำดี แต่เราก็ไม่อยากจะปล่อยมันไปและเราก็รู้สึกว่ามันเป็นงานชิ้นแรกของเรา เราได้มา ทำไมเราไม่พยายามที่จะสู้มากกว่านี้ อันนี้ก็จะเป็นช่วงที่รู้สึกกับตัวเองว่าหรือเราไม่มีความอดทนมากพอ หรือเราอ่อนแอ ตั้งใจไม่มากพอ หรือว่าเราทำไม่ได้จริง ๆ พี่เขาก็เลยบอกว่าไม่เป็นไรให้ทิ้งเรื่องนั้นไปก่อน คิดไม่ออกไม่เป็นไร แล้วก็ได้เรื่องใหม่มาทำซึ่งเรื่องใหม่ก็เขียนเป็นเรื่องสั้น ส่งรอบเดียวก็ผ่านได้เลย
![30](https://connect.bu.ac.th/wp-content/uploads/2020/02/30-1.jpg)
![30](https://connect.bu.ac.th/wp-content/uploads/2020/02/30-1.jpg)
อีกหนึ่งความกดดันกับนามปากกา “เนปาลี” นามปากกาของแม่ที่ตั้งมาจากชื่อจริง ตอนที่จะสมัครเราบอกแม่แค่ว่าจะส่งบท แต่ไม่ได้ใช้ความเป็นลูกของ “เจี๊ยบ-วรรธนา วีรยวรรธน” เราอยากจะใช้ความสามารถของเราจริง ๆ และแม่ก็แค่บอกว่า “สู้ ๆ ทำให้ได้นะ” แต่เราไม่เคยเอาบทไปถามแม่เลย ส่งไปแล้วถึงค่อยเอาให้เขาดู ถ้าเขาชมเราก็จะดีใจ แต่ถ้าไม่ชมก็ไม่เป็นไร พอได้รับคัดเลือกแม่ก็ดีใจด้วย
![31](https://connect.bu.ac.th/wp-content/uploads/2020/02/31-1.jpg)
![31](https://connect.bu.ac.th/wp-content/uploads/2020/02/31-1.jpg)
ต่อยอดอนาคตจากสิ่งที่ได้ฝึกฝน
อนาคตเราอยากเป็นนักเขียนบท ที่จริงก็อยากทำหลายอย่างแต่ว่าอันนี้อยากทำเป็นอย่างหลัก รู้สึกว่ามันได้เอาไปใช้ เหมือนยิ่งเราเข้าใจมันเท่าไหร่และเราเขียนมาให้เขาเท่านั้นเขาก็จะให้ความรู้ที่มันมากขึ้นกว่าเดิมกับเราเรื่อย ๆ และเราก็ได้นำไปใช้ มันเห็นเลยว่าทุกวันที่ได้มาเจอเขา เขาก็ให้อะไรใหม่ที่เราเอากลับไป เราใช้เอากลับมาส่งเขา เขาก็จะให้งานใหม่เรามาอีก ซึ่งรู้สึกว่าได้รู้เรื่องใหม่ตลอดเวลา สำหรับเราคือมันสนุกเพราะว่าเป็นเรื่องที่สนใจอยู่แล้ว
คุณแม่ให้คำแนะนำ บอกว่าคนเขียนบทตอนนี้ค่อนข้างมีน้อย คนเขียนบทมันต้องใช้เวลาบ่มมันไม่ใช่แค่ว่าปีสองปีคุณจะเขียนได้เลย ซึ่งถ้าเราเริ่มตั้งแต่ตอนนี้และถ้าเรา ค่อย ๆ พัฒนาขึ้นไปเรื่อย ๆ มันก็จะเก่งมากขึ้นสามารถทำเป็นอาชีพเลี้ยงตัวเองได้ และอีกอย่างเลยคือเราชอบ Llifestyle การทำงานของแม่คือแม่สามารถทำงานที่บ้านได้และก็สามารถหยุดยาวไปเที่ยวได้โดยที่มีเงินไปเที่ยว เราก็เลยมองว่างานนี้เป็นงานที่เหมาะสมกับเรา
![32](https://connect.bu.ac.th/wp-content/uploads/2020/02/32-1.jpg)
![32](https://connect.bu.ac.th/wp-content/uploads/2020/02/32-1.jpg)
ดูละครเพื่อศึกษาเรียนรู้
เราจำได้ว่าบัลลังก์เมฆเป็นละครเรื่องแรก ๆ ที่ทำให้เราเลือกดูช่องวัน31 เราก็เลยมานั่งถอดบทบัลลังก์เมฆดู ว่าเราชอบจุดไหนของเรื่อง เขาเลือกที่จะตัดเบรกตอนไหน ตอนไหนที่ทำให้เราต้องติดตามเลือกที่จะดูต่อในตอนต่อไปเราก็จดไว้ ส่วนในตอนที่เขียนเราก็ค่อยเอามาเลือกว่ามันใช้กับสิ่งที่เราจะเขียนได้ไหม แต่ตอนเขียนส่งเข้ามาเราเลือกที่จะเขียนให้เป็นตัวเองให้มากที่สุด เพราะว่าถ้าเขาเลือก เขาก็จะเลือกจากตัวเราจะไม่พยายามเขียนในแบบที่ช่องต้องการ เพราะในแบบที่ช่องต้องการกับสิ่งที่ทำอยู่แล้ว เขามีทีมงานที่ทำอยู่แล้วเราไม่สามารถไปสู้เขาได้
อย่าปล่อยให้โอกาสที่จะทำตามฝันผ่านไป
ส่วนคนที่สนใจก็อยากให้ลองสมัครเข้ามา เพราะเป็นโอกาสที่ดี อยากให้มองว่าอย่างน้อยถ้าเราเข้ามา ก็อยากให้ทำอย่างเต็มที่เราฝึกงาน 4 เดือนไม่ว่าเราจะเรียนอยู่ปีไหนก็ตาม ถ้าเราไม่ได้ทำที่นี่แล้วเราก็ยังมีประวัติผลงานไปสมัครงาน เราก็คือเด็กที่เคยฝึกงานกับช่องวัน31 มาแล้ว 4 เดือน เรามีใบประกาศนียบัตรจากเขา แต่ถ้าใครที่คิดว่าชัดเจนแล้วว่าเราชอบที่นี้แล้วจริง ๆ ไม่อยากย้ายไปไหนแล้วมันก็เหมือนเรามีงานทำตั้งแต่ยังเรียนไม่จบ คุณอยู่กับเขาไปเรื่อย ๆ นานวัน วันนึงคุณก็ไปเป็นพนักงานของเขาอย่างเต็มตัวได้ถ้าความสามารถและความพยายามของคุณมากพอ
ละครคือพื้นที่การเรียนรู้
![33](https://connect.bu.ac.th/wp-content/uploads/2020/02/33-1.jpg)
![33](https://connect.bu.ac.th/wp-content/uploads/2020/02/33-1.jpg)
หยวน-สุกาญจนา แซ่อื้อ
พูดถึงเรื่องราวชีวิตในช่วงของการทำงาน หลายคนคงมีหลากหลายเรื่องราวที่ผ่านเข้ามา บางเรื่องเล่าไปยิ้มไป ยิ่งพูดยิ่งขำ แต่บางเรื่องก็พูดถึงด้วยน้ำตากันเลยทีเดียว เช่นเดียวกับ หยวน-สุกาญจนา แซ่อื้อ นักศึกษาคณะนิเทศศาสตร์ เล่าให้เราฟังถึงประสบการณ์ที่ได้ผ่านการคัดเลือกเป็นหนึ่งในโครงการ BU Come One ด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ จนเราอดที่จะยิ้มตามไม่ได้จริง ๆ
มีเพื่อนดีที่ชวนให้ทำสิ่งดี ๆ
เพื่อนแนะนำค่ะว่ามีโครงการนี้ เราลองไปดูตามเพจแล้วก็สนใจ จึงส่งใบสมัคร เราคิดว่าเราเรียนนิเทศอยู่แล้ว ถ้าเราได้ทำงานไวกว่าคนอื่นก็คงจะดี ก็เลยคิดดูว่าลองส่งดูเผื่อได้เริ่มก่อนคนอื่น ตอนแรกก็คาดหวังว่า เขาบอกว่าถ้าผ่านตรงนี้ไปแล้วจะได้ทำงานต่อ เราก็คิดว่า อยากทำงานต่อแต่ด้วยความที่เราอยู่ปี 2 คิดว่าน่าจะแบบไม่ได้ทำแบบเต็มตัวเพราะต้องมาเรียนอยู่ดี
แล้วก็พอเข้าไปที่ช่องวัน 31 ก็เจออะไรเยอะเลย ทั้งคนทั้งงาน แล้วก็อาหารกองอร่อยมาก แล้วก็ได้เจอคนดี ๆ เยอะ ทำให้แบบมีความคิดในการใช้ชีวิตเยอะ โครงการนี้ทำให้ไม่ผิดหวังเลยจริง ๆ เราเจอสิ่งต่าง ๆ มากมาย เราได้ฝึกด้านผู้ช่วยผู้กำกับ ผู้ช่วย 1 ผู้ช่วย 2 ในซิทคอมแต่ถ้าเป็นละครจะมีเป็นผู้ช่วย 1 2 3 เราก็ฝึกผู้ช่วย 1 กับผู้ช่วย 2
![35](https://connect.bu.ac.th/wp-content/uploads/2020/02/35.jpg)
![35](https://connect.bu.ac.th/wp-content/uploads/2020/02/35.jpg)
เรียนรู้จากรุ่นพี่ที่สอนงาน
พี่ที่เป็นคนดูแลเรา สอนเราคือใจดีมาก อย่างเราเข้าไปก็ไม่กล้าทำเพราะเราเด็ก ในกองมีแต่ผู้ใหญ่แต่เขาก็สอนเรา บอกเราตลอดว่าต้องมีอะไรบ้าง ทำยังไง ต้องพูดยังไงเวลาเจอคนยังไง แล้วก็สอนจนถึงขั้นมีพรีโปรดักชั่นก็คือก่อนจะออกกอง ก็คือเจอคนดี ชวนไปดูบท เขียนบท บรีฟเอ็กตร้าหรือตัวประกอบ แคสนักแสดง ทำให้เรารู้ว่าก่อนออกกองเราต้องเตรียมอะไรบ้างแล้วซึ่งมันเยอะมาก เราเป็นอะไร ทำหน้าที่อะไร เราก็ต้องตอบได้
สนุกครบรสและเหนื่อยปะปนกันไป
เราเป็นผู้ช่วยใช่ไหม ผู้ช่วย 1 ก็จะอยู่หน้าจอมอนิเตอร์ คอยจดไทม์โค้ดเพื่อเอาไทม์โค้ดไปตัดต่อ เวลาตัดต่อแล้วดูไทม์โค้ดไปด้วยจะทำให้เราตัดต่อรู้เรื่องและง่ายขึ้น แล้วก็คอยฟังผู้กำกับว่าบรีฟอะไรแล้วก็ให้ผู้ช่วยผู้กำกับ 1 ไปบอกหน้าเซ็ตว่านักแสดงต้องทำอะไรบ้าง แต่ถ้าผู้ช่วย 2 ก็จะอยู่หน้าเซ็ตคอยคุมทุกอย่าง การปล่อยคิว การปล่อยคิวคือว่า สมมุตินักแสดงกำลังเล่นอยู่แล้วมีคนหนึ่งกำลังเข้าบ้านก็ต้องมีคนคอยปล่อยคิว แบบทั้งคิวเดิน คิวพูด ด้วยความที่เราอยากเป็นผู้ช่วยอยู่แล้ว เขาให้ฝึกแต่ผู้ช่วย ผู้ช่วยหน้าที่เยอะ ก็เลยได้ทำทั้งแบบ พรีโปรดักชั่น แต่จะไม่ได้ทำโพสต์โปรดักชั่น
![36](https://connect.bu.ac.th/wp-content/uploads/2020/02/36.jpg)
![36](https://connect.bu.ac.th/wp-content/uploads/2020/02/36.jpg)
ทำไมถึงรู้ว่าตัวเองอยากจะฝึกด้านผู้ช่วยผู้กำกับ
รู้สึกว่าก็ไม่ได้อยากเป็นตากล้อง ไม่ได้อยากเป็นแอดมิน รู้สึกว่าเป็นผู้กำกับ มันน่าจะทำให้เราต่อยอดได้เยอะ แล้วมันรู้เยอะอะไร อยากอยู่น่าเซ็ต อยากสื่อสารแล้วให้เขาเข้าใจ พอเขาเข้าใจมันก็รู้สึกดี ออกมาดี มันก็ทำให้คนกำกับมันรู้สึกดี เคยพูดกับอาจารย์เต้ยว่า หยวนอยากไปวันงานนาฏราช แต่แบบเขาให้ไม่กี่คน คนมันเยอะ แต่ตอนสุดท้ายก็ได้ไปทุกคน
อายุเป็นเพียงตัวเลข ขอแค่ใจที่อยากเรียนรู้
เราอายุน้อยที่สุด เพราะทั้งหมดเขาก็เป็นผู้ใหญ่กัน เพราะว่าคนที่มาเจอส่วนใหญ่ก็จะเป็นรุ่นพี่ปี 4ที่มาฝึกงาน เรามาอยู่ในโครงการอายุน้อยกว่าคนอื่น ๆ ตอนแรกไม่คุยเลยเพราะว่า ไม่กล้าไปคุยอยู่แล้วกลัวดูไม่ดี ไม่มีมารยาทก็เลยไม่ถาม แต่พอดูว่าเขาใจดีก็ถาม ถาม ถาม แล้วพอถามเยอะเขาก็ชอบด้วย เขาอยากสอน
ความประทับใจในโครงการ BU Come One
ประทับใจที่สุด ประทับใจทุกวันเลย แฮปปี้มากเลยที่ไป มันไม่มีที่สุด คือเรารู้สึกว่าเราปี 2 แล้วใช่ไหม คือพี่ ๆ ก็โตกว่า ตอนแรกกลัว กลัวเราทำไม่ดี ทุกวันเราเลยพยายามทำให้ดีที่สุด ในทุกเช้านักแสดงจะต้องท่องบทใช่ไหม เราก็ควรรู้บทอยู่แล้วมันเป็นหน้าที่ เราก็จะอ่านหลายครั้ง อ่านจน บางทีนักแสดงถามว่าก่อนพูดอันนี้ ใครพูดอะไรก่อนหรอ แล้วเราสามารถตอบได้ว่า อ่อ คนนี้พูดแบบนี้ไป เราอ่านบทหลายรอบมาก เราก็ตั้งใจทุกเรื่องให้เขาเห็น แล้วคือเราตั้งใจมาก จนพี่เขาก็ชวนให้ไปช่วยงาน
![37](https://connect.bu.ac.th/wp-content/uploads/2020/02/37.jpg)
![37](https://connect.bu.ac.th/wp-content/uploads/2020/02/37.jpg)
เหตุการณ์ในการทำงานที่เจอแล้วทำให้เราท้อไหม ไม่มีเลย แต่บางคนก็มี อย่างช่วงที่ฝึกงาน ตอนไปทำซิทคอมมันมีคนที่ไม่ไหว ร้องไห้อยากกลับบ้านก็มี ในขณะที่เราแฮปปี้มากเลย แต่เขากลับบอกว่า ไม่เอาแล้ว เลิกดึก อยากกลับบ้าน ซึ่งที่ไหนก็ต้องเลิกดึกอยู่แล้ว อาชีพนี้ ไม่มีเป็นเวลาหรอก อย่างนักแสดงมาก่อน เราก็ต้องมาก่อนนักแสดงอีก บ้านเราอยู่พระราม 2 เลิกตี 2 ทุกวัน เราก็นอนกอง นอนกองก็ไม่สบายอยู่แล้ว ฝุ่นก็มี ยุงก็เยอะ แต่เราคิดแค่ว่า อีกไม่กี่ชั่วโมงก็เช้าแล้ว
![38](https://connect.bu.ac.th/wp-content/uploads/2020/02/38.jpg)
![38](https://connect.bu.ac.th/wp-content/uploads/2020/02/38.jpg)
แน่นอนว่าจุดที่หยวนยืนคือจุดที่หลายคนอยากมายืน แล้วเราต้องมีทักษะความรู้อะไรบ้าง มีพื้นฐานอะไรมาบ้าง คงเป็นคำถามที่หลายคนสงสัย และคิดไม่ตก แต่สิ่งสำคัญคือต้องชอบอย่างเดียวเลย แต่เราชอบ เลยฝึกตัดต่อเอง ดูจากยูทูปพยายามทุกอย่าง พอมาเข้าโครงการ เราเลยพอตัดต่อเป็นอยู่แล้ว เสพสื่อก็เยอะ ก็เลยรู้ว่าคอนเทนต์ไหนมันน่าสนใจจริง ๆ ต้องอาศัยความชอบ และเรียนรู้ด้วยตนเองอยู่ตลอด
Passion เริ่มจากการที่ชอบดาราจนนำพามาถึงจุดนี้
![39](https://connect.bu.ac.th/wp-content/uploads/2020/02/39.jpg)
![39](https://connect.bu.ac.th/wp-content/uploads/2020/02/39.jpg)
แตงไทย-เบญจกร ต้นกันยา
สาวสวยสุดเซอร์ ที่พกความมั่นใจมาเต็มร้อย แตงไทย-เบญจกร ต้นกันยา สาขา Innovative Media and Production นักศึกษาชั้นปีที่ 1 คณะนิเทศศาสตร์ หรือการผลิตสื่อนวัตกรรม ที่เริ่มต้นด้วยการเขียนบทและผันตัวมาตัดต่ออย่างที่ใจรัก
อยากรู้การทำงานเบื้องหลัง
แรงจูงใจของเรา ที่เราอยากสมัครโครงการอีกเหตุผลนึงคือ อยากเจอดาราที่ตึกแกรมมี่ อยากเข้ามาอยากรู้กระบวนการทำละครว่าในหนึ่งเรื่องเขาทำอะไรกันบ้าง พื้นฐานมันเริ่มจากการบ้าดารามาก่อนมันเป็นสิ่งที่ส่งเรามาถึงตรงนี้ แต่พอได้มาอยู่แล้ว มันก็ค่อนข้างชิน พอเจอดารามันก็จะเฉย ๆ ไปเอง แต่ทำงานสายนี้มันต้องทำด้วยความชอบและใจรัก
![40](https://connect.bu.ac.th/wp-content/uploads/2020/02/40.jpg)
![40](https://connect.bu.ac.th/wp-content/uploads/2020/02/40.jpg)
โลกคือละคร
พอยื่นสมัครมาเราเลือกฝ่ายละคร เราส่งเป็นคลิปวิดีโอแนะนำตัวเอง คลิปที่ส่งไปก็ทำเองทุกอย่างทุกขั้นตอน ในคลิปก็จะมีผลงานต่าง ๆ ที่เราเคยทำมามันก็เป็นเหมือน Portfolio และเราก็คิดพล็อตขึ้นมาคร่าว ๆ ว่าเราจะถ่ายทำออกมาในแนวไหน จะแสดงเป็นอย่างไร ซึ่งในการแสดงของเรามันจะต้องมีเป็นเหมือน Tie-in ผลงานของเราเข้าไปด้วย ให้มันดูน่าสนใจกว่าการที่ถ่ายตัวเองยืนพูดเฉย ๆ
ช่วงนั้นเราติดละครเรื่องหัวใจศิลามาก ส่วนใหญ่จะดูเรื่องนี้เป็นหลักและก็จะเอาเสียงเอาส่วนประกอบต่าง ๆ เล็ก ๆ น้อย ๆ จากละครเรื่องนั้นมาตัดดูเป็น reference เราก็คิดว่าคลิปเราสนุก มั่นใจ! ตัดต่อเหมือนละครเลย มีตัวอย่างตอนต่อไปด้วยนะ เราคิดว่าหลายคนจะทำเหมือนเป็นรายการ แต่เราอยากให้เขาเห็นว่าเราอยากทำละครจริง ๆ คลิปเราน่าจะสะดุดตาเขาบ้าง ในคลิปเราทำคือมันจะมีแสดงหลายคาแรคเตอร์ซึ่งเราแสดงเองหมดทุกตัวละครเพราะว่าไม่มีคนเล่นให้ และเราก็ตั้งชื่อเรื่องของเราเองว่า “หัวใจเบญจกร”
![41](https://connect.bu.ac.th/wp-content/uploads/2020/02/41.jpg)
![41](https://connect.bu.ac.th/wp-content/uploads/2020/02/41.jpg)
เรียนรู้การทำงานเป็นทีม
พอได้ผ่านเข้ามาทำงานจริง มันเกินกับสิ่งที่คาดไว้มาก ได้เรียนรู้อะไรเยอะ และเร็วกว่าที่ควรจะเป็น ตอนเราเข้ามาปี 1 เรายังไม่ได้เรียนอะไร แต่พอเข้ามาทำโครงการนี้มันได้เจอแรงกดดัน เจอการทำงานจริง มันไม่ได้มีอยู่ในห้องเรียน ได้เรียนรู้กระบวนการทำงานต่าง ๆ คือบางทีเราถ่ายคลิปตัวเองถ่ายทำเอง มันไม่ได้มีกระบวนการเยอะ แต่พอเรามาทำงานจริง งานที่นี่ ตรงนี้ มันไม่ได้เป็นเรื่องหรือเป็นงานของคน ๆ เดียว เป็นการทำงานเป็นทีม
เราต้องคิดอยู่ตลอดว่ามันไม่ใช่แค่งานของเรา เราทำไปแล้วมันมีหลายขั้นตอนที่จะต้องไปทำต่อจากเราไปเรื่อย ๆ อีก แล้วตัวงานที่ออกมาที่เป็นไฟนอล มันอาจจะไม่เหมือนกับที่เราคิดแต่เราต้องยอมรับว่ามันคือทีมเวิร์ค พอผ่านทุกคนไปแล้วสุดท้ายมันได้ประมาณนี้ ผลงานออกไป ถ้าประสบความสำเร็จ เราก็ดีใจแต่ถ้าล้มเหลวก็ต้องห้ามนอยด์ว่า มันไม่ดีเพราะใครหรือเพราะอะไร เพราะว่าทุกคนก็มีความสำคัญที่ทำให้งานมันเกิดขึ้น
![42](https://connect.bu.ac.th/wp-content/uploads/2020/02/42.jpg)
![42](https://connect.bu.ac.th/wp-content/uploads/2020/02/42.jpg)
ความในใจของเด็ก(ฝึก)เขียนบทละคร
ตอนแรกเราอยู่ฝ่ายเขียนบทละคร แต่พึ่งย้ายมาฝ่ายตัดต่อ ที่ย้ายเพราะฝ่ายเขียนบทละครมันยากมาก ตอนแรกเราก็คิดว่าเขียนบทมันคงดีไปอยู่ตรงไหน ก็เขียนได้ไม่ต้องทำอะไรมาก แค่นั่งเขียนคิดแล้วก็เขียน แต่ตรงคำว่าคิด มันจะมีหลายอย่างที่ต้องทำ อย่างเช่น พี่เขาให้ช่วยหาข้อมูลเกี่ยวกับการเป็นคนไร้สัญชาติ เราต้องไปหาข้อมูลอย่างจริงจัง ไปสัมภาษณ์อาจารย์ผู้รู้ทางกฎหมายใด ๆ หรือถ้าทำละครย้อนยุคก็ต้องอ่านหนังสืออ่านนิยายย้อนยุคและต้องศึกษาว่ามันยุคไหน สังคมเป็นอย่างไร คนจะทำอะไร บางทีก็ยากขึ้นไปอีกแนวงานย้อนยุคจะเป็นย้อนยุคแบบไหนอิงประวัติศาสตร์หรือเปล่า หรือว่าจะเป็นย้อนยุคแบบประยุกต์ เราจะใส่ไอเดียอะไรเข้าไปในงานได้ไหม
อีกอย่างที่ท้าทายของคนเขียนบทคือเราไม่ได้เป็นตัวละครแค่ตัวเดียวเหมือนกับนักแสดง คือเราเป็นทุกตัวละคร แล้วลองคิดถึงซีนที่เป็นดราม่าต้องโต้ตอบกับตัวเองสมมติเราร้องไห้ สักพักเราต้องสลับไปเป็นอีกคน มันค่อนข้างใช้เวลาและใช้อารมณ์มาก พี่ที่สอนเขียนบท เขาก็สอนว่าถ้าเราเขียนฉากเศร้า เราต้องร้องไห้ ถ้าไม่ร้องแปลว่าฉากนี้ใช้ไม่ได้ เราต้องรู้สึกกับมัน เวลาเขียนเราจะเขียนเรื่องย่อไปขายก่อนแต่ว่าส่วนใหญ่แล้วพอไปทำจริง บทมันอาจจะไม่ได้ตรงกับเรื่องย่อไปซะหมด
![42-1](https://connect.bu.ac.th/wp-content/uploads/2020/02/42-1.jpg)
![42-1](https://connect.bu.ac.th/wp-content/uploads/2020/02/42-1.jpg)
พอเราเขียนไปอยู่กับตัวละครมากขึ้นเราจะรู้ว่า ตัวละครทำแบบนี้ไม่ได้ ค่อนข้างยาก คนที่เขียนได้ดีจริง มีน้อย ตอนที่เราฝึกอยู่ฝ่ายเขียนบทละคร เราเคยได้ไปช่วยเขียนบทละคร ไปช่วยตอนท้ายช่วยคิด scenario ช่วยเขียนบ้างนิดหน่อย นิดจริง ๆ ส่วนใหญ่เขาให้ทำงานของตัวเองมากกว่า และที่ย้ายมาฝ่ายตัดต่อเพราะว่าระหว่างที่เขียนบทอยู่ได้มีโอกาสไปเช็คเทปที่ก่อนที่เขาจะออนแอร์เขาจะต้องเช็คก่อนว่าตัดออกมาเป็นอย่างไรเขาจะมานั่งรวมกันทั้งผู้บริหาร คนตัดต่อ ผู้กำกับ คนเขียนบท ก็ไปเช็คแล้วเวลาดูเทปออกมา และรู้สึกว่ามันน่าจะเป็นช็อตนี้ก่อน มันน่าจะอย่างนี้นะ เหมือนเราเห็นทางและส่วนตัวก็พอตัดได้บ้าง และรู้สึกว่าอยากต่อยอดตรงนั้นมากกว่า
![43](https://connect.bu.ac.th/wp-content/uploads/2020/02/43.jpg)
![43](https://connect.bu.ac.th/wp-content/uploads/2020/02/43.jpg)
เมื่อตัวหนังสือมาเป็นภาพเคลื่อนไหว
ส่วนตัวคิดว่าเอาสิ่งที่ได้เรียนรู้มาไปใช้ได้เยอะเพราะสุดท้ายแล้วการเขียนบทคือการเล่าเรื่อง ซึ่งคณะที่เราเรียนมันก็ต้องสื่อสารต้องเล่าเรื่องอยู่แล้ว แต่ว่าเราอาจจะไม่ได้เล่าในแง่ตัวหนังสือเหมือนคนเขียนบท แต่ว่าเรายังเอาหลักการจากที่เขียน มาใช้กับงาน Production หรืองานอะไรก็ตาม ก็ปรับใช้ได้
จากใจรุ่นพี่ BU Come One Season 1
สิ่งที่ประทับใจในโครงการนี้คือการที่ได้มารู้จักคนในนี้ อย่างที่บอกเขาเป็นคนมีชื่อเสียง แต่ละคน อย่างเช่น เราติดตามผลงานเขา แล้วพอเราได้เจอตัวจริงได้ฟังทัศนคติของเขาเราก็ได้เอาไปปรับใช้กับงานของเราได้ คือเราได้โอกาสที่เอาตัวเองมานั่งฟังอะไรที่ Exclusive เราได้เข้าประชุมฟังเขาคุยเรื่องบทกัน และบางทีเราก็ได้มีโอกาสแสดงความคิดเห็นของเราออกไปด้วย คือสิ่งที่ดีมาก ๆ ที่สุดที่ช่วยให้เราเรียนรู้และเติบโตขึ้นได้อย่างเร็ว
![44](https://connect.bu.ac.th/wp-content/uploads/2020/02/44.jpg)
![44](https://connect.bu.ac.th/wp-content/uploads/2020/02/44.jpg)
น้องที่อยากเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของ BU Come One หลัก ๆ ก็เป็นตัวเองนั่นแหละ อยากให้เริ่มเก็บผลงานไว้ตั้งแต่ตอนนี้และเอามาโชว์ให้เขาเห็น บางทีไม่จำเป็นต้องเป็นคลิปวิดีโอก็ได้ แค่เขียนหรืออะไรก็ได้ ที่แสดงตัวตนเราออกมาได้จริง ๆ ถ้าได้เข้ามาแล้วเราจะรู้สึกได้ว่ามันคุ้มมากเลย พี่เขาอยากเห็นความตั้งใจ ถ้าเรามีใจแล้วพร้อมที่จะเรียนรู้เขาก็พร้อมที่จะสอน แต่อย่างน้อยก็ให้เขาเห็นว่าเรายังพอมีต้นทุนบ้างนิดนึง เขาก็น่าจะเลือกเราแล้วนะ สู้ ๆ แล้วมาเจอกัน
![45](https://connect.bu.ac.th/wp-content/uploads/2020/02/45.jpg)
![45](https://connect.bu.ac.th/wp-content/uploads/2020/02/45.jpg)
![46](https://connect.bu.ac.th/wp-content/uploads/2020/02/46.jpg)
![46](https://connect.bu.ac.th/wp-content/uploads/2020/02/46.jpg)
![47](https://connect.bu.ac.th/wp-content/uploads/2020/02/47.jpg)
![47](https://connect.bu.ac.th/wp-content/uploads/2020/02/47.jpg)
BU Come One โครงการที่เปิดเส้นทางฝันของคนรุ่นใหม่ให้เติบโตในแวดวงการอุตสาหกรรมสื่อบันเทิงให้เป็นจริง มาร่วมติดตามการเดินทางของคนมีฝันที่ได้ทำงานจริงกับช่อง ONE31 ไปพร้อมกับเรา
ขอขอบคุณภาพประกอบจากนักศึกษาโครงการ BU Come One คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ