ฮาโลวีนแล้วน้า! เรานึกสนุกจึงขอชวนพี่น้อง ผองเพื่อนชาวมหาวิทยาลัยกรุงเทพ มาร่วมกันแชร์ประสบการณ์ขนหัวลุก…ที่เคยประสบพบเจอมาเล่าสู่กันฟังหน่อยจ้า
เทศกาลฮาโลวีนเป็นวัฒนธรรมของประเทศฝั่งตะวันตก มีงานฉลองในคืนวันที่ 31 ตุลาคมของทุกปี ผู้คนจะแต่งกายเป็นภูตผีปีศาจหลากหลาย เพื่อไปร่วมงานปาร์ตี้กัน ส่วนกิจกรรมประจำเทศกาลนี้ ก็จะมีการเล่น ทริค ออ ทรีท (Trick or Treat) มีการประดับประดาโคมไฟ ให้เข้ากับช่วงเทศกาลและที่สำคัญมีการแกะสลักฟักทองเป็นโคมไฟที่เรียกว่า แจ๊ก-โอ’-แลนเทิร์น (Jack-O’-Lantern)
เรื่อง…ผีๆ จากประสบการณ์หนังสั้น
หน่วยกล้าตายคนแรกจ้า พี่เจแปน-ภานุพรรณ จันทนะวงษ์ ศิษย์เก่ามหาวิทยาลัยกรุงเทพ สาขาภาพยนตร์ คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ ที่ตอนนี้เป็นดารา นักแสดง เป็นขวัญใจใครหลายคนไปแล้ว พ่วงมาด้วยตำแหน่ง CEO สุดคูลที่กำลังมาแรงของ Marang Studio พี่แจแปนมาร่วมแชร์ประสบการณ์เกี่ยวกับสิ่งลี้ลับบางอย่างให้พวกเราได้ฟังกัน
พี่เจแปน-ภานุพรรณ จันทนะวงษ์
พี่เจแปนเล่าว่ามีความเชื่อเกี่ยวกับสิ่งที่มองไม่เห็นไหม แบบว่า เชื่อ! เชื่อ! เชื่อ! เชื่อ! มากกกกกก ก.ไก่ล้านตัว เราโดนปลูกฝังมาตั้งแต่เด็ก ๆ ว่าสิ่งพวกนี้ ถึงแม้จะมองไม่เห็น แต่มันก็มีจริง เรื่องมันก็มีอยู่ว่า ตัวเราเอง มีปู่ ย่า ตา ยาย ที่เข้าวัด เข้าวา จึงได้ยินเรื่องของบาปบุญ และการมีอยู่ของอดีตชาติ ปัจจุบัน และอนาคตชาติ
เมื่อตอนที่พี่เรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยกรุงเทพ พี่ต้องทำหนังสั้นส่งอาจารย์ ชื่อหนังสั้นว่าแด่รัก พี่เขียนพล็อตเรื่องไว้ประมาณว่า ชายใบ้กับหญิงตาบอด รักกัน แต่เมื่อมีเรื่องของชนชั้นวรรณะเข้ามาทำให้มีอุปสรรค ผู้หญิงเป็นคนที่สวยมาก แล้วผู้ชายเป็นคนเฝ้าสุสาน และพูดไม่ได้ เป็นใบ้ ก็เลยต้องมาเฝ้าสุสาน เราก็เลยต้องไปถ่ายกันที่สุสานจริงที่จังหวัดแห่งหนึ่ง
เนื้อเรื่องจะต้องมีฉากที่ผู้หญิงกับผู้ชาย ต้องมาเจอกันทุกปี และในหนึ่งวันที่เจอกันคือ วันเช็งเม้ง เพราะว่า ผู้ชายเฝ้าสุสาน แล้วผู้หญิงมาทำบุญให้กับสามีเขาที่ตายไปแล้ว การมาเป็นประจำทุกปี จึงเกิดเป็นความชอบขึ้น ชายผู้เฝ้าสุสานจึงรอคอยวันนั้น และเหตุการณ์ คือมีอยู่ปีหนึ่ง ที่ผู้หญิงไม่ได้มา แต่ในเรื่องจะเห็นว่า มีคนแห่โลงศพจีน เข้ามาในสุสาน แล้วก็มีรูปผู้หญิงคนนั้นนำหน้าโลงศพ ผู้ชายเฝ้าสุสาน จึงเสียใจมาก เพราะปีนี้เขาตั้งใจว่า จะบอกรักเธอ เนื้อเรื่องคือประมาณนี้
ส่วนเบื้องหลังการถ่ายทำจริง พี่ต้องติดต่อกับทางสุสาน และคุยกับทางทีมอาร์ตว่า ให้หาโลงศพเปล่ามาถ่ายทำ เพราะว่าต้องมีฉากแบกโลงศพ เมื่อจะเริ่มถ่ายทำซีนแบกโลงศพ แล้วทีมงานยังหาโลงศพจีนไม่ได้ ทีมอาร์ต เรียกพี่ไปคุยว่ายังหาโลงศพไม่ได้เลย เพราะร้านเขาไม่มีให้เช่า ต้องซื้อเลย เพื่อนพี่ก็เลยบอกว่า ลองติดต่ออาแปะที่ดูแลสุสานนี้ว่า มีโลงให้ยืมไหม เขาก็บอกว่ามี
แต่เพื่อนพี่หันมาย้ำว่า แต่…ต้องมาขอเขานะ พี่ก็งงว่าแบบขออะไร เพื่อนก็บอกว่า คือมันมีศพอยู่ข้างใน พี่ก็แบบตกใจ มีศพอยู่ข้างในจริงปะเนี่ย มันก็ว่าจริง อาแปะเลยพาพี่กับทีมอาร์ตเข้าไปดู เป็นโลงศพทุกไซส์เลย เล็ก กลาง ใหญ่ อาแปะบอกว่าเลือกเลยจะเอาไซส์ไหน แต่ทุกโลงมีศพอยู่ข้างในหมดเลยนะ เพราะเขาเอามาฝากไว้ เพื่อที่จะมาฝังเป็นครอบครัวใหญ่ ฝังรวมกันทีเดียว
ทางเลือกเดียวที่มี
ในนาทีที่เราไม่มีทางเลือก เราก็เลยไปจุดธูปขอยืมจากเจ้าของโลง บอกประมาณว่าเป็นการศึกษาของเรา เราต้องการเอาโลงศพ เพื่อไปถ่ายทำ จะได้เป็นผลงานของเรา เราจะได้เอาไปส่งอาจารย์ เราก็จุดธูปขอเลย แต่ข้อห้าม คือห้ามวางโลงศพกับพื้น จะต้องมีตั่งมารอง ห้ามถอยหลัง ห้ามนู่น ห้ามนี่ ห้ามทักเรื่องกลิ่น เป็นต้น
ซึ่งเวลาถ่ายทำจริง พวกเราทำตามข้อห้ามไม่ได้สักข้อเลย แล้วคือบางคนก็ไม่รู้ว่าข้างในโลงมีศพจริง เราก็ไม่ได้บอก ไม่บอกเลย แล้วมันมีคนทักขึ้นมาว่า เหม็นมากเลย เหม็นอย่างกับศพเลย เราก็แบบใจแป้วแล้ว ทีนี้พอเรากำลังเดินแล้วโลงมันหนักมาก โลงศพก็ทำมาจากไม้แล้วก็มีคนด้วย พอเราแอคชั่น หรือสั่งคัตปุ๊บ เราก็….เฮ้ย….เอาใหม่ เริ่มใหม่ ถอยหลัง ต้องเอาเท้านำหัว ไม่ใช่หัวนำ แบบเพี้ยนไปหมดเลย ก็คือทำตามที่อาแปะบอกไม่ได้สักข้อเลย
ที่พีคมากคืออาแปะมาบอกว่า พวกเราต้องทำงานให้เสร็จก่อนตะวันตกดินนะ ถ้าไม่ทันอาถรรพ์แน่ เพราะวันนี้เป็นเหมือนวันปล่อยผี ไม่งั้นพวกเราไม่ได้กลับบ้านแน่ อาแปะพูดแบบนี้เลยนะ พวกพี่ ก็รีบถ่ายให้เสร็จ เอาโลงไปเก็บเรียบร้อย ก็เริ่มมืดแล้ว พวกเรารีบเก็บของ เก็บไฟ เก็บอุปกรณ์ เก็บเอาเข้ารถ ก็คิดว่าแบบมืดแล้วยังไม่ได้ออกจากสุสานเลย
เมื่อเริ่มทยอยกันออกไป รถของนักแสดง ก็ออกไปก่อนคันแรก รถพี่ก็ออกไปกับรถคันที่สอง แต่เมื่อไปได้สักพัก รถคันสุดท้ายยังไม่ได้ออกมาจากสุสาน ก็โทรมา บอกว่า มึงเอากุญแจรถไปใช่ไหมเอามาคืนด้วย ทำให้รถทั้งสองคันต้องเลี้ยวกลับมาที่สุสาน เราก็ยกมือไหว้ขอขมาไปอีกรอบ แล้วก็ขับรถออกมาทั้งสามคัน ระหว่างทางเกิดหิว แวะข้างหน้าสุสาน จะมีร้านข้าวต้ม ก็ต่อโต๊ะยาว กินข้าวไปได้สักพัก เด็กในกองถ่ายคนนึงที่มันมีเซ้นส์ นั่งกินข้ามต้มแล้วก้มหน้า มองมาแล้วก็ก้ม เลยถามว่าน้องเป็นไร โอเคหรือเปล่า เป็นอะไรให้บอกพี่
น้องก็บอก ไม่โอเค มันบอกว่าข้างพี่ผึ้ง มีเพื่อนพี่อีกคนนึง คือใคร พี่ก็บอกไม่มีนะ แต่น้องมันก็ย้ำว่าแต่หนูเห็นผู้ชายแก่ใส่ชุดขาว หนวดยาวเหมือนคนจีน อยู่ข้างพี่ แล้วก็นั่งก้มหน้า
เราก็แบบ…จริงปะเนี่ย แล้วพี่ต้องทำไง น้องมันก็บอกว่า เราต้องพาเขาไปส่งที่สุสานอีกรอบ ซึ่งน้องมันบอกว่า ก็ตอนที่พี่ออกมาจากสุสานอ่ะ พวกพี่พูดกันว่าไร พี่ก็บอกว่า ไปกลับ กลับกันเถอะพวกเรา แล้วที่สุสานมันมีศพเป็นพันหลุมเลยนะ ซึ่งระหว่างทาง ไอ้น้องคนนี้ ก็ร้องกรี๊ด ๆ มาตลอดทางเลย บอกว่า ออกไป ออกไป มันบอกว่า มีคนอยู่ในรถเยอะแยะมากเลย พูดแล้วยังขนลุก
จากงานส่งอาจารย์ในวันนั้น สู่หนัง(ผี)เข้าโรงในวันนี้
เรื่องที่พี่เจอ พี่ก็เอามาทำเป็นพล็อตเรื่อง เอามาทำหนังจริง หนังเข้าโรงไปแล้ว เรื่องผีเข้า ผีออก ก็ดัดแปลงไปเยอะมาก เพื่อความสนุก แล้วในวันที่พี่เอง มาเป็นนักแสดงด้วย ต้องไปถ่ายที่สุสาน แต่ไม่ใช่สุสานที่เคยไปนะ ทุกครั้งที่เราถ่ายทำเสร็จปุ๊บ เราก็จะมีน้ำใบทับทิมจะต้องมาพรมที่หัวเพื่อปัดเป่าสิ่งไม่ดีออก มีวันหนึ่ง วันนั้นเหนื่อยมาก ในถังน้ำทับทิมแห้งขอด ใบทับทิมก็แห้ง เราก็เลยไม่ได้พรมน้ำมนต์ แล้วพี่ก็กลับถึงบ้านตีสาม เหนื่อยมาก ก็เข้านอนเลย ไม่ได้อาบน้ำ ตอนเราไปวิ่งไปเล่นอยู่ในสุสานโดนพวกดิน พวกอะไรอย่างนี้ด้วยใช่ไหม
ตอนเรานอนเราก็คิดว่า เป็นความฝัน แต่ไม่ได้ฝัน นี่คือ การโดนผีอำครั้งแรกในชีวิต ตอนนอน เราก็กอดหมอนข้าง ตะแคงขวา เราก็เริ่มรู้สึกสะลึมสะลือ แต่เราตื่นขึ้นมาสิ่งที่เรากอดอยู่ เห็นเป็นภาพเหมือนโครงกระดูกที่เนื้อแห้งติดกะโหลกเลย แห้งเลยนะ แล้วอมมือพี่ อมมือพี่ทั้งมือเลย เห็นเป็นปากเขา เป็นหน้าศพซึ่งใกล้ชิดมาก นานสัก 5 วินาที ได้นะ 1 2 3 4 คิดในใจ ผีอำ เลยพลิกตัว หันกลับไปดู ไม่มีล่ะ ตอนนั้นใจเต้นมากเลย ผีอำครั้งแรกในชีวิต พี่เจแปนเล่าประสบการณ์ทั้งหมดให้เราฟัง เราแทบจะหยุดหายใจเลย ลุ้นตลอด!
เรื่องจริงหรือภาพลวงตา
มาต่อกันที่ น้องพี-พิริยะ ชุณหชัชวาลกุล คณะดิจิทัลมีเดียและศิลปะภาพยนตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ หนุ่มน้อยที่ไม่เชื่อเรื่องลี้ลับ ถ้าจะลี้ลับ ก็ต้องพิสูจน์กันหน่อย
น้องพี-พิริยะ ชุณหชัชวาลกุล
ประสบการณ์จริงจากการเจอผีครั้งแรก ที่เขาเองก็ยังไม่มั่นใจว่า คือเรื่องจริงหรือภาพลวงตา เรื่องมันมีอยู่ว่า เมื่อประมาณตอนมัธยมต้นไปเที่ยวต่างจังหวัดกับญาติพี่น้อง ที่ที่ญาติผมทำงาน เขาจะมีที่พักของพนักงานบริษัทให้ แล้วพวกผมก็ไปพักกันที่นั่น ลักษณะที่พักคล้ายรีสอร์ท เอาไว้ใช้ให้พนักงานพัก เวลามาสัมมนาต่างจังหวัด บริเวณโดยรอบที่พักนั้น ก็จะเป็นป่า ตอนนั้น เวลาประมาณสองทุ่ม ผมกลับมาจากไปเที่ยว รู้สึกเหนื่อยและเพลีย แต่ระหว่างที่กำลังจอดรถเข้าที่พักนั้น ผมก็เห็นมีผู้ชายคนหนึ่ง ยืนอยู่ตรงป่า ห่างจากตัวผมประมาณร้อยเมตร เป็นผู้ชายล่ำ ผิวคล้ำ ไม่ใส่เสื้อ ใส่โจงกระเบนสีแดง เหมือนคนสมัยก่อน ตอนแรกที่เห็น ผมทั้งตกใจ และกลัวมาก และคิดว่าตัวเองเจอผีแล้ว
จังหวะนั้น ผมเลยหันมาบอกน้า ที่มาด้วยกันว่า ผมเห็นมีผู้ชายคนหนึ่งยืนอยู่ตรงนั้น แล้วก็มองมาที่ผม ผมไม่แน่ใจนะว่าน้าเขาเห็นเหมือนกับผมหรือเปล่า แต่เขาตอบกลับมาประมาณว่า ให้ผมคิดซะว่าโชคดีที่เห็น แล้วก็ขอขมา ขออนุญาตเขา ที่เรามาพักที่นี่คืนนี้ ด้วยความที่กลัวมาก ผมก็รีบทำตามคำบอกของน้าทันที เสร็จแล้วผมก็มองไปยังจุดเดิมที่เห็นอีกครั้ง โดยตามปกติแล้วเขาควรที่จะหายไปแล้วใช่ไหม แต่กับผม ไม่นะ เขายังอยู่ตรงนั้น เขายังมองมา จ้องมาที่ผมเหมือนเดิมไม่หายไปไหนเลย ตอนนั้น ผมมีไฟฉายติดตัวอยู่พอดี ผมก็เลยบอกกับตัวเองว่า ลองดูหน่อย แล้วตัดสินใจส่องไฟฉายไปทางที่เขายืนอยู่ พี่เชื่อไหม พอผมส่องไฟเข้าไป สิ่งที่ผมเห็น กลับกลายเป็นท่อนไม้ แล้วพอผมดับไฟ ผมก็ไม่เห็นเขาแล้ว
เชื่อในสิ่งที่เห็น
นอกจากเรื่องนี้แล้ว น้องยังบอกถึงความเชื่อที่ถูกบอกต่อกันมาว่า ยกตัวอย่างความเชื่อโบราณที่ผมได้ยินมาตั้งแต่เด็กที่ว่า ถ้าตากระตุกซ้ายจะโชคดี ตากระตุกขวาจะโชคร้าย เรื่องนี้ผมก็เชื่อประมาณหนึ่งเลยครับ แต่ปัจจุบันด้วยยุคสมัยที่เปลี่ยนไป ความคิดผมเริ่มเปลี่ยน ผมก็จะเลือกเชื่อในสิ่งที่ผมเห็น เชื่อในสิ่งที่เราพิสูจน์ได้มากกว่า
ผีไทย กับ ผีต่างประเทศ อะไรน่ากลัวกว่ากัน
อีกหนึ่งคำถามที่ได้พูดคุยด้วยช่วงเทศกาลฮาโลวีนที่กำลังจะมาถึง น้องคิดว่าผีไทยกับผีต่างประเทศอันไหนน่ากลัวกว่ากัน
ส่วนตัวผมคิดว่าผีไทยน่ากลัวกว่าครับ ด้วยความที่เราคุ้นเคยกับวัฒนธรรม คุ้นเคยกับสิ่งที่เราอยู่ ในแง่ภาพยนตร์ ผมรู้สึกว่าหนังผีไทย น่ากลัวกว่า ทั้งสถานที่ ทั้งความเชื่อที่เราถูกปลูกฝังมา โดยเฉพาะบรรยากาศไทย ผีที่น่ากลัวที่สุดสำหรับผม ขอยกให้ผีนางรำของไทยครับ
ป้ามาลี…ชอบขี่จักรยาน
มาต่อกันที่สาวสวย สุดชิค น้องแพรว-บวรรัตน์ ชัยราบ คณะดิจิทัลมีเดียและศิลปะภาพยนตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ ผู้เคยมีประสบการณ์เกี่ยวกับสิ่งที่มองไม่เห็น ทั้งรูปแบบเสียง และภาพ แต่น้องก็ไม่ปักใจเชื่อเสียทีเดียวว่า สิ่งที่ได้รับรู้นั้น แท้จริงคืออะไร คงต้องช่วยกันพิจารณาเอาเองละกัน
น้องแพรว-บวรรัตน์ ชัยราบ
เริ่มต้นเรื่องว่า ผีมีหรือไม่มี เราพยายามไม่ตั้งคำถาม เรารู้สึกว่า มันจะเหมือนการตั้งกฎไปเองว่า สิ่งที่เรามองไม่เห็นนั้น คือผี สุดท้ายแล้ว มันอาจจะเป็นโลกอีกโลกหนึ่งที่เราไม่รู้ก็ได้ เลยรู้สึกว่า มนุษย์ตั้งตนขึ้นเป็นใหญ่เอง โดยที่ตีความว่าอย่างอื่น เป็นอย่างนั้น เป็นอย่างนี้ สุดท้ายแล้วเราอาจจะอยู่ร่วมโลกกับเขามาตั้งนานแล้วก็ได้
ต่อด้วยเรื่องป้าข้างบ้านคนหนึ่ง ที่หนูรู้จัก ป้าแกชื่อป้ามาลี แกจะชอบขี่จักรยานมาก คนในซอยก็จะรู้จัก เพราะแกปั่นจักรยานอยู่คนเดียว คือวันนั้นหนูก็เห็นแกขี่จักรยานสวนกันกับหนู ซึ่งกำลังขี่มอเตอร์ไซค์ หนูก็ทักทายแกปกติ ป้าสวัสดีค่ะ ป้าแกก็พยักหน้าตอบตามปกติ แล้วหนูกลับบ้านไป บอกปู่ว่า วันนี้เจอป้ามาลีด้วย ไม่ได้เจอแกตั้งนาน ปู่ก็บอกว่า ป้ามาลี แกตายไปแล้ว โดนรถสิบล้อชนตายไง หนูก็อึ้งไปเลย สภาพที่หนูเห็นแกตอนนั้น คือปกติมาก เหมือนปกติทั่วไปที่เจอเลย เราก็พยายามนึกว่า สิ่งที่เราเห็นเมื่อตอนเย็น คืออะไร หนูก็ยังคิดนะว่าคงโดนแล้วแน่ ๆ ตอนปู่บอกตอนนั้น เราก็นิ่งไปเลย
งานศพญาติ
อีกเรื่องที่น้องแพรวยังเล่าต่อไปเป็นงานศพ เเล้วหนูต้องนอนเฝ้า เพราะเขาเป็นญาติที่สนิทมาก ศพอยู่ที่ศาลา เป็นศาลาที่มีป่าช้ารอบ ๆ แม้ว่าอยู่ติดกับถนน หนูได้ยินเสียงล้างแก้ว เสียงจัดเก้าอี้ ทั้งที่เราเก็บกวาดกันหมดแล้ว พอมารู้จากพ่อแม่ว่า ญาติที่เสีย ตอนที่เขายังอยู่ เขาจะชอบไปช่วยงานศพ ชอบไปเก็บแก้ว หรือจัดการอะไรอย่างนี้ ก็จะเป็นเขาตลอด
พอเรายกของไปให้หน้าโลงศพ เราก็จะได้ยินเสียงเคาะโลงกลับมา ทั้งที่เราเดินออกไปแล้ว แต่หนูคิดว่าหูแว่ว แต่เพื่อนที่นั่งอยู่ด้วยกัน ก็ได้ยินทั้งกลุ่ม ตอนนั้น เรากลัวมาก แต่เราพยายามคิดว่ามันไม่ใช่ผี แต่เราก็ตั้งคำถามนะว่า แล้วมันคืออะไร
ปู่ไม่อยู่แล้ว…
อีกหนึ่งเหตุการณ์ หนูไม่ได้เจอโดยตรง แต่เป็นเรื่องที่สะเทือนใจมาก คือปู่ของหนูเสียชีวิต ตอนนั้นทุกคนอยู่ที่โรงพยาบาลกันหมด รวมถึงร่างของปู่ด้วย แล้วอาแปะที่บ้านอยู่รั้วเดียวกัน แต่คนละหลัง แกก็โทรมาถามว่า ทำไมบ้านปิดไฟหมดเลย ปู่นอนอยู่ใต้ต้นมะม่วง คือตรงนั้นจะเป็นเปลที่ปู่ชอบไปนอนเล่นอยู่เป็นประจำ ทุกคนก็คิดว่าเป็นมุกหรือเปล่า แต่อาแปะ แกเพิ่งกลับมาจากต่างประเทศ คงยังไม่รู้ เราก็เลยบอกอาแปะว่าปู่เสียแล้ว อาแปะก็บอกว่า อย่ามาล้อเล่น เมื่อกี้ยังเห็นปู่อยู่เลย เรื่องแบบนี้มาล้อเล่นได้ไง
เชื่อน้อย เชื่อมาก..ก็อย่าไปลบหลู่
น้องแพรวยังบอกว่าในความคิดเห็นส่วนตัว ถ้าถามว่า เชื่อไหม น่าจะ 50:50 นะคะ เพราะว่า ส่วนตัวเราไม่เคยเจอตัวเอง ก็เลยคิดว่า เราไม่สามารถตัดสินได้ว่ามันจะมีหรือไม่มี แต่แพรวก็เลือกที่จะไม่ลบหลู่
สุดท้ายนะคะ อยากฝากถึงทุกคนว่า สำหรับคนที่ไม่เชื่อ คือไม่เชื่อ ไม่เป็นไร อย่างที่เขาว่ากันว่าไม่เชื่อ แต่อย่าลบหลู่ ก็ตามนี้นะ! ที่สำคัญคือเรื่องเล่าลึกลับที่เราได้ฟัง ช่วยเปิดประสบการณ์ใหม่ และทำให้เราเรียนรู้โลกในมุมมองที่กว้างขึ้นด้วย
ขอขอบคุณภาพหน้าปกประกอบเรื่อง www.pexels.com, The best free stock photos, royalty free images & videos shared by creators.