กระแสรักษ์โลกกำลังมาแรง เราอยากชวนขยับเข้ามาทำความรู้จักคนรุ่นใหม่ที่มีรักใสใสหัวใจเพื่อสิ่งแวดล้อม พี่โอ๊บ-ธนโชติ ก้องสกุล นักศึกษาคณะการสร้างเจ้าของธุรกิจและการบริหารกิจการ ประธานชมรมอนุรักษ์ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยกรุงเทพ
อดีตเด็กชายโอ๊บ ผู้มีความรักความผูกพันกับต้นไม้ใบหญ้า จนเติบโตเป็นชายหนุ่มผู้มีหัวใจเป็นสีเขียวที่อยากเห็นมนุษย์ทุกคนเข้าใจธรรมชาติและปกป้องทรัพยากรของโลกที่กำลังแย่ลงไปทุกที
เพียงชายคนนี้ผูกพันกับต้นไม้มา 20 กว่าปี
เราพบกับพี่โอ๊บท่ามกลางบรรยากาศสีเขียว ร่มรื่นไปด้วยแมกไม้ ใต้ชายคาบ้านหลังใหญ่ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ ก่อนที่พี่โอ๊บจะพาเราย้อนกลับไปสู่อดีตในวัยเด็ก
“ผมเติบโตมาในครอบครัวคนจีนที่บ้านเปิดร้านขายยาสมุนไพร ยาแผนโบราณ พวกยาต้ม ยาจีน ก็ทำกันมา 4-5 รุ่นแล้ว นี่อาจจะเป็นสิ่งที่ทำให้ผมผูกพันกับต้นไม้หรือต้นสมุนไพรมาตั้งแต่เด็ก ทุกวันก็จะมีคนเอาต้นสมุนไพรชนิดต่าง ๆ ตัดมาขายที่บ้าน ผมก็จะมีหน้าที่ตัดหรือสับต้นสมุนไพร แล้วตากแห้ง เพื่อนำไปปรุงยา”
ด้วยความที่มีคุณปู่ที่สนใจเรื่องสมุนไพรเป็นทุนเดิมยิ่งบ่มเพาะให้พี่โอ๊บใกล้ชิดกับธรรมชาติมากยิ่งขึ้น
“ตอนเด็ก ผมจะสนิทกับคุณปู่มาก ซึ่งทุกเย็นผมจะไปทำสวนหลังบ้านกับคุณปู่ คุณปู่ก็จะเล่าเรื่องต่าง ๆ ให้ฟังโดยเฉพาะเรื่องต้นสมุนไพรว่ามีประโยชน์อย่างไร ใช้ทำอะไรได้บ้าง เรื่องราวของผมก็จะดำเนินอย่างนี้ในทุกวันเป็นส่วนใหญ่ จนอาจจะทำให้ผมซึมซับเรื่องพวกนี้โดยไม่รู้ตัว ดังนั้นความผูกพันของผมกับธรรมชาติก็ค่อยสะสมและแน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้นจนถึงทุกวันนี้”
ปั้นฝันให้ชัดเจน จากเด็กช่วยงานสู่ประธานชมรมโลกสีเขียว
ช่วงวัยเด็กเรามักจะถูกถามจากผู้ใหญ่อยู่บ่อย ๆ ว่าเราอยากเป็นอะไร สำหรับพี่โอ๊บ ฝันที่ชัดเจนเป็นรูปเป็นร่างมากที่สุด ต่อยอดมาจากกิจการสมุนไพรของครอบครัว
“ที่บ้านผมทำเกี่ยวกับแพทย์แผนไทย ตอนแรกไม่ชอบเลยเรื่องพวกนี้ แต่พอผมมาเรียนที่ม.กรุงเทพ ผมรู้สึกว่าเรื่องพวกนี้มันมีคุณค่ามาก ทั้งต่อคนอื่นหรือแม้กระทั้งตัวผมเองเป็นสิ่งที่บรรพบุรุษของผมได้สร้างมาและอยากจะสืบทอดธุรกิจต่อไป ตอนนี้ก็เรียนรู้เกี่ยวกับพืช สมุนไพรทั้งหมดอยู่ แล้วในอนาคตก็ว่าจะเรียนเวชกรรมด้วย องค์ความรู้ตรงนี้สามารถต่อยอดและพัฒนาธุรกิจ
พื้นเพที่อยู่กับต้นไม้ใบหญ้าอยู่แล้วของพี่โอ๊บ ประกอบกับการได้มีโอกาสเดินทางไปค่ายกับชมรมอนุรักษ์ จุดประกายให้พี่โอ๊บสนใจเรื่องธรรมชาติมากขึ้น
“ผมได้ไปกับชมรมอนุรักษ์ ซึ่งเป็นค่ายแรกที่สร้างความประทับใจมาจนถึงทุกวันนี้ ทำให้ผมเปิดโลกในอีกมุมมองหนึ่งว่าธรรมชาติแท้จริงแล้วมันสวยงามมากจริง ๆ น่าหลงใหล และเมื่อเข้าไปสัมผัสกับมัน มันทำให้ผมรู้สึกสงบ ทำให้ลืมเรื่องที่กำลังกลุ้มใจไปได้เลย สิ่งนี้แหละที่อาจจะทำให้ผมสนใจเรื่องของการอนุรักษ์มากยิ่งขึ้น อยากจะดำรง และรักษามันไว้ให้ยาวนาน ให้คนรุ่นต่อไปได้รู้สึกเหมือนที่ผมเคยรู้สึกกับธรรมชาติที่ผมได้สัมผัส”
จากการได้ไปค่ายในตอนนั้น ทำให้พี่โอ๊บต่อยอดการทำกิจกรรมกับชมรมอนุรักษ์เรื่อยมา วิ่งช่วยงานรุ่นพี่ในชมรม จนได้รับคัดเลือกให้เป็นประธานชมรม
“เส้นทางของการเข้ามาเป็นประธานชมรมอนุรักษ์นั้นก็คือเริ่มจากที่ผมเข้ามาช่วยงานชมรม ช่วยงานรุ่นพี่ทำค่ายจัดกิจกรรมเรื่อยมา มีทั้งสนุกมีทั้งปัญหามีหลายเรื่องให้ผมได้เรียนรู้ ต้องใช้คำว่า โหด มัน ฮา ก็ว่าได้ (หัวเราะ) ผมก็เริ่มที่จะผูกพันกับชมรมมากขึ้น และด้วยที่พี่ ๆ เพื่อน ๆ มีความไว้วางใจในตัวผมจึงได้เลือกผมเป็นประธาน ผมรู้สึกขอบคุณทุกคนที่ให้โอกาสผมมาทำหน้าที่ตรงนี้ มันสนุกมาก ได้เจออะไรใหม่ ได้ไปในที่ที่ไม่เคยไป และผมรู้สึกโชคดีมากที่ได้มาเป็นส่วนหนึ่งในชมรม”
เริ่มจากให้แล้วความสุขก็ตามมา
การเป็นประธานชมรม มีบทบาทหน้าที่รับผิดชอบเต็มตัว สร้างให้พี่โอ๊บเติบโตทั้งด้านการทำงาน ความคิด และทำโอกาสที่ได้รับมาให้ดีที่สุด
“การให้มันเริ่มต้นตั้งแต่วันแรกที่ผมเข้ามาเป็นประธานเลยครับ ทุกคนก็เริ่มที่จะให้ผมแล้วครับ ให้โอกาสผมเข้ามาเป็นประธาน จึงทำให้ผมได้เข้ามาให้อะไรหลายอย่างกับคนอื่น ให้สิ่งของ ให้ความรู้ ให้ความสนุกสนาน เช่น การให้ความรู้เรื่องการอนุรักษ์ การให้ความสนุกสนานกับคนที่มาค่าย สร้างความประทับใจให้เขา สิ่งเหล่านี้แหละครับที่ผมได้รับจากการเป็นประธานชมรมอนุรักษ์ คือ ได้ความสุขจากการให้ครับ (ยิ้ม)”
ฟังมาถึงตรงนี้หลายคนคงสงสัยว่าชมรมอนุรักษ์ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมมีหน้าที่อะไรบ้าง พี่โอ๊บแจกแจงให้เราได้เห็นภาพว่า “ชมรมอนุรักษ์มีบทบาทและหน้าที่ในการให้ความรู้ ปลูกฝังจิตสำนึก และสร้างความตระหนักในเรื่องของการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติเป็นเรื่องหลัก โดยจะปลูกฝังผ่านกิจกรรม เช่น การจัดนิทรรศการ การออกค่าย กิจกรรมหลักจะเป็นการออกค่ายไปตามอุทยาน ผู้เข้าร่วมจะได้ประสบการณ์จริง ได้รับความรู้ อาทิ การเปิดป่าศึกษาธรรมชาติ จะได้ในเรื่องของพันธุ์พืช เรียนรู้เรื่องรอยเท้าสัตว์ และยังได้รับประสบการณ์จริงจากการเดินป่าด้วย”
การเรียนรู้ธรรมชาติจึงมีคุณค่ามากมาย พี่โอ๊บเน้นย้ำให้เราเห็นความสำคัญอีกว่า “ธรรมชาติอยู่ได้โดยไม่มีมนุษย์ แต่มนุษย์อยู่ไม่ได้หากไม่มีธรรมชาติ อากาศก็เป็นทรัพยากรธรรมชาติอย่างหนึ่ง แต่ถ้าไม่มีอากาศมนุษย์เราก็จะอยู่ไม่ได้ครับ” ความคิดความอ่านที่โตเกินวัยรุ่นทั่วไปทำให้พี่โอ๊บมุ่งมั่นสานต่อกิจกรรมของชมรม
มาเรียนรู้ร่วมกันในห้องเรียนธรรมชาติ
เรียนรู้ธรรมชาติก็เหมือนได้เรียนรู้ชีวิต ชมรมอนุรักษ์จึงมุ่งมั่นให้มนุษย์ทำความเข้าใจธรรมชาติผ่านประสบการณ์ตรง พี่โอ๊บอธิบายต่อด้วยสีหน้ามุ่งมั่นว่า ชมรมมีหมุดหมายที่จะขับเคลื่อนงานด้านสิ่งแวดล้อมให้กับมหาวิทยาลัยผ่านโครงการที่ชื่อว่า “ห้องเรียนธรรมชาติ”
“โครงการห้องเรียนธรรมชาติจะเน้นให้ผู้เข้าร่วมกิจกรรมได้สัมผัสกับประสบการณ์จริง ที่ผ่านมามีกิจกรรมห้องเรียนธรรมชาติที่อุทยานแห่งชาติทับลาน ผู้เข้าร่วมกิจกรรมจะได้เรียนรู้การปลูกป่าด้วยหนังสติ๊ก การเดินป่าศึกษาธรรมชาติและกิจกรรมฐานต่าง ๆ การเดินเก็บขยะในพื้นที่อุทยาน กิจกรรมเหล่านี้จะสร้างความตระหนักรู้ในเรื่องของการรักษาธรรมชาติ การมีจิตสำนึกในการหวงแหนทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่ เห็นถึงความสวยงามของธรรมชาติ นำไปสู่การรักษาให้คงอยู่ต่อไป”
นอกจากนี้ชมรมอนุรักษ์ยังต่อยอดทำโครงการภายนอกร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ พี่โอ๊บบอกกับเราว่ามันเป็นโอกาสที่ดีในการสร้างเครือข่ายกับหน่วยงานที่เล็งเห็นคุณค่าด้านสิ่งแวดล้อม
“โครงการ Plant Together ปลูกป่าปัญญาชน ซึ่งเป็นโครงการที่จะสร้างพื้นที่สีเขียวในมหาวิทยาลัย รายการ Perspective รายการเจาะใจ และบริษัทปตท.จำกัด จัดขึ้น เป็นการจัดแข่งขันของมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ตอนนี้มี 5 มหาวิทยาลัย ของมหาวิทยาลัยกรุงเทพ ชมรมอนุรักษ์และนักศึกษาคณะต่าง ๆ ได้ช่วยกันในการขับเคลื่อนโครงการนี้ โดยโครงการนี้จะมีหน้าที่ดูในส่วนของการสร้างพื้นที่สีเขียวในมหาลัยให้ เพิ่มมากขึ้น เพื่อที่จะสร้างแรงบันดาลใจให้กับคนไทยให้หันมาสนใจปลูกต้นไม้มากขึ้น เป็นวัตถุประสงค์หลักของโครงการครับ”
การขับเคลื่อนโครงการจึงต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกคนภายในมหาวิทยาลัย เริ่มต้นจากเยาวชนที่จะเป็นแกนนำ “ผมมองว่าสังคมจะได้คนรุ่นใหม่ที่จะเห็นคุณค่า และความสำคัญของการอนุรักษ์ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเพิ่มมากขึ้นและคนรุ่นใหม่เหล่านี้อาจจะเป็นกำลังหลักและกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนงานทางด้านอนุรักษ์ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมต่อไปในอนาคตก็เป็นได้”
รักใสใส หัวใจเพื่อสิ่งแวดล้อม
การอนุรักษ์ธรรมชาติจะไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป ถ้าเราใช้ทรัพยากรหรือสิ่งที่มีอยู่ให้คุ้มค่า ใช้อย่างพอดี ใช้อย่างพอเหมาะ ไม่จำเป็นที่ต้องเข้าป่า ปลูกต้นไม้ เราก็สามารถออกแบบการอนุรักษ์ธรรมชาติในแบบของตนเองได้ เช่น การลดใช้ถุงพลาสติกแล้วหันมาใช้ถุงผ้าแทน หรือนำทรัพยากรที่ใช้แล้วนำมากลับมาใช้ใหม่ เพียงเท่านี้เราก็สามารถเป็นนักอนุรักษ์ธรรมชาติได้ง่าย ๆ ด้วยสองมือของเราเอง
“ผมเชื่อว่าทุกอย่างเป็นไปได้ ผมเชื่อว่าสิ่งไหนที่ผมทำสิ่งนั้นต้องสำเร็จ จะมากก็ทำ จะน้อยก็ทำ”
นี่เป็นข้อความที่ยืนยันการพิสูจน์ตัวเองของประธานชมรมอนุรักษ์ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมผู้มีความเชื่อ ความศรัทธาในสิ่งที่ตนเองลงมือทำ และการที่คนคนนึงมีความมุ่งมั่นตั้งใจที่จะทำสิ่งใดโดยไม่รู้ว่าผลที่ออกมาจะเป็นเช่นไร ประสบความสำเร็จหรือไม่ นับว่าเป็นการทำด้วยหัวใจที่เป็นจิตอาสาอย่างแท้จริง
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบ พี่โอ๊บ-ธนโชติ ก้องสกุล นักศึกษาคณะการสร้างเจ้าของธุรกิจและการบริหารกิจการ ประธานชมรมอนุรักษ์ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยกรุงเทพ